นิยายเที่ยวสิงคโปร์ : Chapter 7 _Day1: ท่า...จะมิตร (ซิงกะโปโล : Singapolo)


พี่โทและพี่เอสดูกระเหี้ยนกระหือรือมาก ที่จะได้มาท่องราตรีที่สิงคโปร์ !!!
จาก MRT Bay Font เราต้องนั่งสายสีส้มมาลงสถานี Marina Bay เปลี่ยนเป็นสายสีแดงนั่งไปอีก 3 สถานี เพื่อไปเปลี่ยนสถานทีที่ Dhoby Ghaute เป็นสายสนีม่วง และก็บวกไปอีก 1 ลงที่ Clarke Quay ได้เลย  แม้จะดูซับซ้อน แต่ใช้เวลาประมาณ 17 นาทีเท่านั้นเองในการเดินทาง.... (จริงๆ จาก  Marina Bay Sand เราสามารถเดินไปคลากคีย์ได้เลยนะครับ แต่เหอๆ... คงมีอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง)
            สถานีนี้มีความพีคเบาๆ เพราะมีทางออกบ้าคลั่งมากถึง  6 ช่อง แต่ละทางแยกออกจากกันไกลมาก หลังจากไม่มีใครตัดสินใจว่าจะออกทางไหน เราเลยเลือกทางออกที่ใกล้ที่สุดเพื่อการเซฟและแล้วสิงคโปร์ก็ท้าทายความพยายามเที่ยวของเราอีกครั้ง  ทางออกนี้ไม่มีบันไดเลื่อนหรือลิฟท์ครับ ทางเดียวที่เราจะขึ้นไปได้ คือต้องเดินบันไดวนเป็นร้อยๆ ขั้นขึ้นไป... ซากอ้อยที่สุด
            4 คนเดินโซซัดโซเซขึ้นมาตามทางด้วยความหิวโซ...(น่าสังเวชตัวเอง) มาโผล่กลางห้าง Central เราเดินออกจากตัวห้างมาเดินเรียบแม่น้ำ ไม่รู้ตรงไหนคือคลากคีย์ที่เราจะไป แต่ที่แน่ๆ อากาศวันนี้ชิลมากครับ ตลอดเส้นทางก็ต้อนรับบรรยากาศแฮง
เอ้าท์ด้วยร้านอาหาร บาร์เครื่องดื่มเก๋ๆ  เรียงราย  เราเดินเรียบแม่น้ำมาเรื่อยๆ ก็เห็นแลนด์มาร์คของท่าเรือนี้ นั่นคือ “River Side Point” ที่เห็นอาคารโกดังสูงใหญ่เรียงยาวอยู่ริมแม่น้ำที่ตอนนี้เปลี่ยนบทบาทเป็นที่ตั้งของร้านค้า ร้านอาหารขนาดใหญ่  และที่ตั้งอยู่อีกฝั่งแม่น้ำตรงข้ามกัน ก็คือคลากคลีย์  ป้ายไฟสว่างโล่

           สิงคโปร์เริ่มต้นประเทศด้วยการเป็นเมืองท่าตั้งแต่วันแรกที่ประวัติศาตร์เริ่มบันทึก และเป็นเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ด้วยความได้เปรียบเพราะที่ตั้งประเทศซึ่ง เป็น เส้นทางเชื่อมระหว่างประเทศเอเชีย ยุโรป และแอฟริกาได้  เรือใหญ่ก็นิยมมา เทียบ ท่าพัก สินค้าก่อนจะขายต่อ แต่ก็ไม่ได้โชคดีไปซะทั้งหมดครับ เพราะว่าแม่น้ำสิงคโปร์ ที่เชื่อมกับทะเลนั้นไม่ค่อยลึกเท่าไหร่ เรือใหญ่ผ่านเข้าไปไม่ได้ จอดได้แค่ทะเลข้างนอก ปากแม่น้ำใกล้ๆ อ่าวจึงเต็มไปด้วยท่าเรือและโกดังขนาดใหญ่เรือเล็กจะล่อง ออกไปรับของที่เรือใหญ่ เอามาพักไว้ที่โกดังเหล่านี้ คลากคีย์เป็นหนึ่งในท่าเรือสำคัญเหล่านั้นครับ
            ผมว่าตอนเด็กๆ ทุกคนคงได้เรียนเรื่อง “คอคลอดกระ” แถวประจวบฯ นะครับที่ว่าประเทศไทยมีแผนจะขัดตรงส่วนนั้นให้เป็นคลอง เพื่อทำเป็นท่าเรือ  ซึ่งท่าทำจริง สิงคโปร์ จะหนาวสั่นมากครับ เพราะประจวบเป็นทำเลที่ดีกว่ามาก เรือจากทุกทวีป
สามารถวิ่งตัดเข้ามาประกอบได้เลยไม่ต้องวิ่งอ้อมมาเลย์ สิงคโปร์เหมือนแต่เดิม ซึ่งทั้งไกลและมีมรสุมด้วย  และด้วยแม่น้ำเจ้าพระยาของเราทั้ง “ใหญ่ ยาว ลึก”ขนาดที่อดีตเรือใหญ่จากฝรั่งเศสสามารถแล่นเข้าไปเรื่อยๆ ถึงอยุทธยาได้เลย  ทำให้เรือสินค้าจากอ่าวไทยสามารถแล่นมาเทียบส่งสินค้าในประเทศไทยได้ทันที... แต่เหมือน“ฝันใหญ่” ของคนไทยยังไม่ถูกสร้างให้เป็นความจริงครับ โดยโครงการขุดคลองที่เดี๋ยวก็ “ผลุบ” เดี๋ยว ​“พับ” และแม่น้ำเจ้าพระยาเดี๋ยวนี้ก็มีสะพานสร้างกั้นหมดแล้วครับ ไม่ต้อนรับเรือใหญ่ๆ อีกต่อไป

            เราพยายามเดินหาของกินให้เร็วที่สุดเพราะหิวมาก ตอนนี้..... เรายังไม่ได้กินข้าวเย็นกันเลย  ทีแรกเรากะว่าจะฝากท้องไว้กับร้าน ซีฟูดชื่อดัง ที่ร้านตั้งอยู่ริมน้ำ ชื่อว่า “จัมโบ้” (ถูกบรรจุในไกด์บุ๊คทุกเล่ม) แต่ดูไปดูมา เมนูอาหารร้านนนี้ก็จัมโบ้ สมชื่อครับ คืออาหารทะเลแบบปลาทั้งตัว กุ้งเป็นโล หอยเป็นกะละลัง ต้องมากินแบบ ครอบครัว ใหญ่ถึงจะกินหมด... แถมราคาก็ยัง​แพงหูถี่ เราเลยขอบาย ไปหาอะไรกิน ที่ในคลากคีย์ ดีกว่า... จาก “River Side Point” เราต้องเดินข้ามสะพาน “Read Bridgeไป และบรรยากาศการสังสรรค์ก็เริ่มขึ้น จากสะพานแห่งนี้ล่ะครับ!!!
            เท่าที่อ่านจากภาพที่เห็นไวไว เข้าใจได้ว่า “Read Bridge คือสะพาน “มิตร ภาพ” ครับ เป็นเหมือนจุดนัดพบของกลุ่มเพื่อนก่อนที่จะเข้าไปปาร์ตี้ที่คลากคีย์ และยังรับบทเป็นสถานที่ดินเนอร์ แฮงค์เอ้าท์ แของกลุ่มเพื่อน (ที่ไม่อยากจะไปนั่งที่ร้านไหน)
อีกด้วย เพราะภาพที่เห็นคือคนจะจับกลุ่มพูดคุย กินดื่มกันที่สะพานนี้ด้วย บางแก๊งค์แต่งตัวแฟนซี ดื่มเบียร์และยืดราวสะพานเป็นสถานที่จัดปาร์ตี้เลยก็มีดังนั้นสะพานนี้จึงคึกคักมากครับ คนจะเยอะเป็นพิเศษทั้งคนเดินไปมา แก็งค์เพื่อน และยังมีสตรีทโชว์​หรือโชว์เปิดหมวกมาสร้างความคึกคักให้กับสถานที่นี้อีก
            อ๋อลืม สะพานมิตรภาพนี้ไม่ได้เปิดให้รถวิ่งนะครับ สำหรับคนเดินเท่านั้น!!!

        ตีนสะพาน แตะที่คลากคีย์เลยครับ…จุดเด่นของที่นี่คือ โกดังเก็บของที่จำนวน 5 ช่วงตึก ที่ยังคงรูปลักษณ์ภายนอกให้เก๋ๆ คลากสิคไว้ ย่านนี้ถูกอนุรักษณ์ไว้เป็นอย่างดี และพัฒนาให้เป็นย่านธุรกิจการค้าเพื่อนักท่องเที่ยว มีทั้งร้านขายของตกแต่งทันสมัย ร้านขายของมือสอง และของเก่า วันอาทิตย์จะมีตลาดนัดของมือสองด้วย และที่สำคัญ ร้านอาหาร ผับ บาร์ตรึม… หลากหลายธีม หลากหลายสไตล์
            ตอนแรกก็กลัวๆ  นะครับที่จะไปย่านนั้น เพราะผมไม่ดื่มและไม่ค่อยเที่ยวด้วย (ชีวิตนี้คือเคยเข้าผับอยู่ 2 ครั้ง ครั้งแรกคือ “โซนิคเอกมัย” ไปงานเลี้ยงบริษัท ที่แกล้วเมา น้ำเปล่าไปโยกๆ สวัสดีทุกคนแล้วก็แอบหนีกลับ และครั้งที่ 2 ผับชื่อ "ดาวฟ้า" ที่หลวงพระ บาง อันนี้เหนื่อยหน่อย เพราะไปเต้น “บัดสลบ” ผสมเมาน้ำเปล่าตั้งแต่ผับเปิดยันผับปิด…(ซึ่งผับปิด 4 ทุ่มเองจร้า….) แต่เพราะไหนๆ วันนี้เราก็ใจง่ายตามกันมาถึงนี่การปาร์ตี้เลี้ยงฉลองกระชับมิตรก็น่าจะเป็นเหตุสมควร  ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า (มีเงื่อนไขอีกละ) ผมและนุ๊กไม่ดื่มเน้นหาข้าวกิน... ส่วนพี่โทและพี่เอส ขอแค่ที่ชิลๆ กินข้าวพร้อมจิบเบียร์สักแก้วสองแก้วก็พอใจ
            เราเดินเลาะตามถนนไปทั่วทั้งคลากคีย์ ทุกมุมตึกเชื่อมต่อกันด้วยทางเดิน มี น้ำพุ อยู่ตรงกลางหมู่ตึก  ทางเดินถูกทั้งหมดถูกคลุมด้วยผ้าใบทรง “ดอกชวนชม”(ผมตั้งเอง) มีการย้อมไฟด้วยทำให้บรรยากาศสวยมาก และที่สำคัญทางเดินไม่ร้อน เลยครับ เพราะมีพัดลมคอยเป่าพวกเราตลอดทาง  ที่นี่ถ้าเปรียบก็คล้ายๆ RCA บ้านเราแต่มีจำนวนร้านมากกว่า มีทั้งร้านเล็ก ร้านใหญ่ ทำให้คึกคักกว่า และบรรยากาศ วันนี้ค่อนข้างสนุกช่วงที่ไปมีการจัด “October Fest” ลาน เบียร์ธีมสก็อทแลนด์ด้วย เลยหยุดดูฟรีคอนเสิร์ตกันสักพักนึง

หลังจากเดินกันมาสักพัก ในโซนตึกดูเหมือนจะเป็นผับบาร์แบบจริงจังครับเลยไม่ค่อยเหมาะกับพวกเราที่ต้องการ “มื้อจัดหนัก” เพราะร้านเหล่านั้นมีแต่ของกรุบกริบกับแกล้ม เลยเปลี่ยนเส้นทางมาเดินดูร้านริมแม่น้ำแทน ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเข้าแบ่งโซนไว้ครับ ร้านที่ตั้งอยู่ริมน้ำนี้ ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารแบบจริงๆ จังๆ ครับ  เรา ตัดสินใจเลือกร้านญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำชื่อว่า “TOMO IZAKAYA” เพื่อฝากท้อง เพราะ ดูจากเมนูแล้ว มีอาหารญี่ปุ่นหลากหลายคุ้นหน้าคุ้นตา มีเบียร์ และคนไม่เยอะจนเกิน ไป... แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้เลือกร้านนี้ ไม่ใช่อาหารนะครับ แต่เพราะหน้าร้าน เขา แขวนโคมไฟเป็นกำแพงเลย สวยดี...อ้าวกินข้าวกับเพื่อนก็ต้องเสพบรรยากาศด้วย
           
            แม้หน้าตาอาหารร้านนี้จะคุ้นๆ ตา เพราะมีทั้งข้าว และราเมง แต่ในราย ละเอียดก็เล่นเดาเลือกไม่ถูก เดารสชาติไม่ได้เหมือนกันนะครับ.. ผมเลยเลือกเมนูลูก ผสมที่พอคาดเดาว่าอร่อย นั่นคือ “ข้าวผัด บูตะ กิมจิ” ซึ่งพี่โทและพี่เอสขอเมนูนี้ด้วย...
ก่อนที่พี่ทั้งสองจะสั่งเบียร์ซับโปโลมาแกล้มข้าว ส่วนนุ๊กนั้นเลือกนานหน่อย ก่อนจะสั่ง “ฮิยาชิ ราเมน” พร้อมชาเขียวเย็น ซึ่งผมก็สั่งเพิ่มสำหรับตัวเองอีก 1 แก้ว
           

            ระหว่างรออาหาร นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้คุยกันจริงๆ จังๆ ครั้งแรกครับ และผมก็เพิ่งรู้ว่าพี่โทและพี่เอสเป็นเพื่อนที่ทำงานเดียวกัน ผมเริ่มแนะนำพี่โทพี่เอสว่าผมและนุ๊กรู้จักกันได้อย่างไร และบังเอิญมากกว่าบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน  หลังจากที่ทำความรู้จักกันพอควร  เราก็เริ่มคุยถึงแผนเที่ยวในวันพรุ่งนี้ของเรา พี่โทและพี่เอส รวมทั้งนุ๊ก แน่นอน อยู่แล้วว่าจะไปเซ็นโตซ่าให้ได้ จึงพยายามชักจูงให้ผมไปจอยด้วย แต่ผมก็เสียง แข็งน่ะครับ... ทำได้แต่ยืนหยัดในแพลนที่ตั้งใจไว้
            อาหารมาเสิร์ฟ เริ่มต้นด้วย​ “ข้าวผัด 3 จาน” หอมกรุ่นน่ากินมากๆ แต่ขอโทษ เถอะครับจานเล็กเชียว เล็กขนาดเอา 3 จานมารวมกันน่าจะได้เท่ากับ 1 มื้อปกติ... (จานละตั้ง S$ 13 : 325 บาท ยังไม่รวมภาษีและเซอร์วิชชาร์ท)   เมื่อชิมแล้วรสชาติกลม กล่อมอุมามิก็จริง แต่ออกจะจืดๆ แบบญี่ปุ่นหน่อยดี ที่มีซีอิ้วและพริกปุ่นจัดไว้ให้ เรา เลยปรุงกันซะไม่เหลือเค้ารสขาติเดิมเลย... ส่วนของนุ๊กรอนานหน่อยแต่พอมาเสิร์ฟก็น่าตื่นตาครับ ชามใหญ่ เครื่องครบดูหน้ากิน แต่พอนุ๊กชิมไปสักคำเท่านั้น ถึงขึ้นบ่นว่า​ “ประหลาด”  ผมลองชิมน้ำดูก็เอิ่บ ....ไม่เป็นสรรพรสจริงๆ ด้วย...โดยรวมสรุปอาหารมื้อมิตรภาพของเรา ต่างก็พลาดด้วย กันทั้งนั้น... ข้าวที่น้อยไม่พอยาใส้ กับราเมนก็นุ๊กทนกินไม่ไหวอีกต่อไป...

สำหรับผม มื้อนี้เป็นมื้อที่ “อิ่ม” นะครับ อิ่มในบรรยากาศของการรู้จักเพื่อนใหม่ อิ่มใจที่มีอีก 3 คนอยู่ตรงนี้ด้วยกัน คุยกันไป แซวกันไป หัวเราะกันไป...ทำให้ คืนแรก ของทริปมีเรื่องให้จดจำ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ผมคงเดินเปลี่ยว คนเดียวที่ไหนสักแห่ง หรือไม่ก็กลับโรงแรมไปแล้วแน่ๆ 
            เวลาใกล้จะ 5 ทุ่มครึ่ง เราตัดสินใจรีบกลับก่อนที่ MRT จะปิด (ซึ่งไม่รู้จะ ปิดกี่ โมง) คราวนี้เราไม่หลงลงบันไดไปทางเก่าแล้ว เราเลือกลงอีกทางหนึ่ง ซึ่ง มีบันไดเลื่อน ช่วยผ่อนแรงข้าวผัดบูตะกิมจิของเรา... นุ๊กแยกไปอีsกทางเพราะต้องไปไชน่าทาวน์ ส่วน เราอีก 3 คนไปทางเดียวกันคือ MRT Bras Brasah  พุ่งตรงโรงแรมของพวกเรา

            ท่าเรือคลากคีย์ที่วาดภาพไว้คิดว่า น่ากลัว คงจะได้เจอแต่พวกเอาแอ๋  แต่กลับ ตรงกันข้าม ท่านี้มีแต่ความเป็นมิตร เป็นสถานที่พบปะสังสรรค์กันเดินเล่น กินข้าวของกลุ่มเพื่อน บรรยากาศก็มีแต่การพูดคุยสนุกสนานไม่เอะอะ และอบอุ่น ไม่ดูเป็นสถานที่อโคจรติดเรทจนเกินไปนัก บางทีก็คงเหมือนกับการทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ เราอาจจะกลัวและไม่แน่ใจว่าเขาจะเป็นอย่างไรจนไม่กล้าเข้าไปทำความรู้จัก แต่สิ่งเดียวที่เราจะรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร มันก็คือต้องไปทำความรู้จักและลองเรียนรู้กันสักพัก ไม่แน่เรา อาจจะได้เพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตเพิ่มเข้ามาก็ได้


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เรื่องย่อ “Frozen” (Disney's) โฟรเซ่น - ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ” : จากมุมมองของผม หลังชม (review)

รีวิว เรื่องเล่าคืนเฝ้าผี....นอกจากผี สิ่งที่เราทำ ก็หลอนเราได้

สไปร์ท ฮอร์โมน : ซ่าๆ ใสๆ (กินสไปร์ท ต้องใส่ถุง) : (Hormones วัยว้าวุ่น เดอะซีรีย์)