นิยายเที่ยวสิงคโปร์ : Chapter2_Day1: ถ้า...เมืองท่า (ซิงกะโปโล : Singapolo)



“เป็นภาพที่สวยจริงๆ ที่จะได้มองท้องฟ้า ประกอบกับขยับงึบงับ ของปีก เครื่องบิน  ราวกับ การเต้นระบำประกอบจังหวะ  โอว์........​(พยายามปลอบใจตัวเอง)”

          สัญญาณดังขึ้นพร้อมไฟสว่างเตือนให้ทุกคนรัดเข็มขัดให้เรียบร้อย และแอร์ สาวของ Jet Star ที่ส่วนใหญ่ค่อนไปทางแขก ผิวเข้ม ตาคม ท่าทางเคร่งครัดกำลังตรวจสอบความเรียบร้อยของผู้โดยสายทุกคนก่อนที่เครื่องบินจะเทคออฟ... อ๋อ  ถึงขั้นตอน
การเตรียมบินนี้ มีใครสังสัยไหมครับ ว่าทำไมเราต้อง “เปิดหน้าต่าง” หมดทุกบาน ตอนเครื่องกำลังจะขึ้นด้วย และแอร์สาวก็เอาจริงเอาจังกับกฏข้อนี้มาก... 
ผมเพิ่งได้คำตอบมาไม่นานครับ จากเฟชบุ๊คของการบินไทย... ให้เหตุผลที่ต้องเปิดหน้าต่างเวลาเครื่องขึ้น-ลง  ก็เพราะตอนที่เครื่องกำลังขึ้นลง เป็นช่วงที่อันตรายที่สุดจึงต้องเปิดหน้าต่างไว้เพื่อดู ความผิดปกติภายนอก เช่น ปีกเครื่องบิน หรือบางทีอาจมีควันเกิดขึ้น ซึ่งบางครั้งนักบินและแอร์จะมองไม่เห็น แต่ผู้โดยสารบน เครื่องบินจะสามารถช่วยดูให้ได้... รู้แบบนี้แล้วรู้สึกเป็นเกียรติสุดจะประมาณ  การนั่งวิงค์ซี๊ดของผมคือผู้พิทักษ์สอดส่องความปลอดภัยของทุกคนบนเครื่องหรือนี่....โอว์ (ปลอบใจตัวเอง)

          นอกจากการรัดเข็มขัด เปิดหน้าต่างจะเป็นการเตรียมตัวเดินทางของคนที่โดยสารเครื่องบินทั้งลำแล้ว  การนั่งเครื่องบินก็ถือเป็นการเตรีมตัวเดินทางอย่างหนึ่งในความคิดของผม บางคนก็กินข้าวรองท้องก่อนถึงที่หมาย  บางคนก็กรอกเอกสารเข้า
เมือง บางคนก็นอนหลับ​(ซึ่งส่วนใหญ่จะนอนหลับ) บางคนก็นั่งคิดทบทวนสิ่งที่ต้องทำเมื่อไปถึงที่หมาย  สำหรับผมครั้งนี้ ผมเลือกอย่างหลังครับ เพราะการเดินทางครั้งนี้มันสำคัญมากๆ สำหรับผม... เอ๊ะ ผมเล่าหรือยังนะว่า “นี่เป็นการเดินทางไปต่างประเทศ
แบบบุกเดี่ยว คนเดียวครั้งแรกของผม โดยผมเลือกสิงคโปร์เป็นเป้าหมาย”

            ไม่ต้องเดาก็รู้ครับว่าคุณสงสัยแล้วล่ะสิ ไหนบอกว่าเดินทางไปคนเดียว แต่ไหงก่อนหน้านี้มีทั้ง “พี่โท - เพื่อนพี่โท -นุ๊ก” โผล่มา นอกจากนี้หลายคนคง อยากรู้ไม่มากก็น้อยแล้วว่า  ทำไมผมต้องไปสิงคโปร์คนเดียว และมีอะไรพิเศษนักหรือ? ผมจะขอใช้
เวลาบนเครื่องบินนี้ เล่าให้ทุกคนได้ฟังสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เพื่อเตรียมตัวเดินไปพร้อมกับผมในบทต่อๆ ไปครับ
           
            แม้จะได้เกรด 4 วิชาสังคมตอบม.3 และท่องแผนที่โลกได้ขึ้นใจ (เพราะมีสอบเก็บคะแนน)แต่เมื่อเวลาผ่านไป “สิงคโปร์”​ ในความคิดของผมมีแค่ตามที่หนังสือเรียนบอกไว้คือ “เป็นเมืองท่าที่มี ความสำคัญ เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เป็นเสือเศรษฐกิจ
แห่งเอเชีย” (จับต้องไม่ได้เลยสักประเด็น)  ... นอกจากนั้นก็ได้ยินผ่านๆ ตามนิยายหรือละครบ้าง เช่น แม่พลอยส่งตาอ้น ตาอั้นไปเรียนหนังสือ ที่ยุโรป ต้องนั่งเรือจากสยามเพื่อไปต่อเรือที่สิงคโปร์อีกที
แม้จะไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิงคโปร์อยู่ตรงไหนของแผนที่โลก​ (ฟังดูแย่) แต่ยุคโซเชี่ยลเน็ทเวิร์ค ที่ใครต่อใครไปเที่ยวมักโพสรูปคู่กับ “สิงโตพ่นน้ำ”  และ “ตึกหนามทุเรียน ชื่อ เอสพลานาส”  ก็สามารถเพิ่มภาพจำในสมองของผมที่มีต่อประเทศนี้ให้จับ
ต้องได้มากขึ้น
           
            ปลายปี 2554 “กอล์ฟ” พี่ชายของผมมีแผนจะพาพ่อ-แม่ และผมไปทัวร์สิงคโปร์ ช่วงต้นมกราคม 2555 หลังปีใหม่หมาดๆ ผมดีใจมากครับ ที่จะได้ไปถ่ายรูปสิงโต พ่นน้ำกับตึก เอสพลานาสลงเฟชบุค และอินสตาแกรมกับเขาบ้าง... เย่ๆ

หลังจากคอนเฟิร์มแล้วว่าไป แน่นอน ก็เข้าสู่มาตรการเตรียมพร้อมครับ เริ่มจากการถามคนใกล้ตัวที่เคยไปเที่ยวมาแล้ว และได้คำตอบใกล้ๆ กันว่า
              “ไม่เห็นมีอะไรเลย ...ของก็แพง” 
“โอย... วันเดียวก็เที่ยวรอบเกาะแล้ว ไปทำไมตั้ง 3 วัน”
ฟังแบบนี้แล้ว ก็ไม่รู้จะไปทำไม.. แต่ในฐานะ นักท่องเที่ยวที่ดีเลยขอยังไม่เชื่อ
เสียทีเดียว ลองตั้งคำถามดูว่า

“ถ้าสิงคโปร์มันไม่ได้มีแค่นั้นล่ะ”  
เลยเข้าสู่มาตรการต่อมมา คือการลองพยายามหาข้อมูล ทางอินเตอร์เน็ท และ
ซื้อไกด์บุ๊คมาอ่าน เพื่อรู้จักประเทศนี้ให้มากขึ้น...  สรุปว่าราโชมอนมากๆ คนละเรื่อง คนละกาแล็คซี่กับเสียงที่ได้ยินมาเลยครับ เพราะสิงคโปร์มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ มีสถานที่น่าไปเจอมากมายทั้งที่ สร้างขึ้นใหม่และมีมาแต่เดิม ซึ่งผมก็ตั้งเป้าหมายทริป
นี้ไว้ว่า จะเป็นการเดินทางเพื่อตีสนิทเมืองสิงโตนี้มากขึ้น การบรรลุเป้าหมาย (ของผมคนเดียวนั้น) ผมคิดว่ามีสถานที่กว่า  30 แห่ง (มันพะยะค่ะ 30 ที่ใน 3 วัน) ที่ควรจะไปให้เห็นกับตา  ซึ่งแน่นอนว่าเกินครึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ และสถานที่เชิงประวัติศาสตร์ โดยมีสถานที่ไฮไลท์เชิงการท่องเที่ยวแซมมาบ้างประปราย
           
            แต่พอท่าจะดี ทีก็จะเหลวครับ ฝันกับความจริงมันคนละเรื่องการไปทัวร์ครอบครัวกรุ๊ป 5 คน มันอุ้ยอ้ายพะรุงพะรังทีเดียว และเมื่อมีคนมากเสียงก็จะเริ่มแตก ความสนใจในสิ่งต่างๆ ก็ต่างกัน ออกไป อย่างสิ้นเชิง พ่อแม่ที่อย่างเดินเที่ยวชิลๆ  กอล์ฟ
และเพื่อนที่ชอบเที่ยวแบบหวือหวา ส่วนผมก็ขอแบบคลาสสิคเก๋ๆ เชิงประวัติศาสตร์  เมื่อทั้ง 3 ความต้องการมาเจอกัน โปรแกรมทัวร์ ก็เลยจบลง ที่ “ทัวร์ดมท่ามาตรฐาน” นั่นคือเน้นไปที่แลนด์มาร์คหลายๆ ที่ที่ไม่ควรพลาด ใช้เวลาแต่ละที่ “ดมๆ”แล้วรีบไปที่
อื่นต่อ... ผลออกมา การไปสิงคโปรครั้งแรก 3 วัน 2 คืนของผม ด้วยโปรแกรมสุดเบสิค
วันที่ 1. รู้จักสิงคโปร์ด้วยการทัวร์ National Museum - สัมผัส เมอร์ไลอ้อน - มารีน่าเบย์ -  ตึกหนามทุเรียนเอสพลานาส -ชมวิวยามค่ำคืนในสิงคโปร์ฟลายเออร์
วันที่2. เดินเล่นบนโกะ เซ็นโต ซ่า- ดูพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง-แวะไชน่าทาวน์-ไหว้พระธาตุเขี้ยวแก้ว - เดินชิลที่ Singapore Art Museum
วันที่ 3 ช้อปปิ้งละลายดอลล่าที่มูตาฟา และ ออร์ชาร์ด -ถึงกรุงเทพโดย
สวัสดิภาพ... เย่!!!!
           
แม้เป็นทริปที่ไม่ได้แย่และถือว่าเก็บครบสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาครั้งแรกด้วยซ้ำ แต่มันก็ยังไม่สาแก่ใจ และตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อยครับ  อย่างแรกคือ…มิชชั่นการท่องเที่ยวเพื่อตีสนิทกับ สิงคโปร์ของผมไม่ได้คืบหน้าเลยครับ  รู้จักเท่าที่คนอื่นๆเคยไปท่ามาตรฐานสุดๆ ประการต่อมาคือ แม้ได้ไปสถานที่หลายแห่ง แต่ก็ใช้เวลา ไม่มากพอที่จะเก็บรายละเอียดหรือด่ำดิ่งไปกับมัน ที่สำคัญ ผมแทบจะยังไม่ได้เก็บสถานที่ที่อยากจะไปเลย… (เศร้าตรงนี้…บอกเลย)

หลังจากกลับมาเหมือนชีวิตมี “ปม”…คำถามที่ว่า “ถ้าสิงคโปร์มันไม่ได้มีแค่นั้นล่ะ” ไม่ได้ถูกตอบ มิชชั่นไม่คอมพลีท!!! ทั้งที่ไม่ได้ยากเกินไปเลยตั้งใจไว้กับตัวเองว่าต้องกลับไปประเทศนี้อีก ครั้งให้ได้เพื่อแก้ปมในใจของตัวเอง  ไปตีสนิท ไปดูให้เห็น ไปเรียนรู้ ไปที่ที่อยากไป

แล้วผมก็หาเรื่องไปจนได้ครับโดยถือเอาการเดินทางครั้งนี้เป็นของขวัญการแก่ขึ้นอีกปีของ ตัวผมเอง และเพื่อให้ทุกอย่างควบคุม “การเดินทางไปคนเดียวถือเป็นคำตอบที่ใช่ที่สุดในโลก” อยาก ไปไหนก็ไป ไม่ต้องเกรงใจใคร ไร้สาระตามใจยังไงก็ได้... แม้จะเดินทางไปต่างประเทศหลายครั้งแต่ การไปครั้งก่อนๆ ก็ไปเพื่อการทำงาน มีคนอื่นไปด้วยเป็นหมู่คณะ หรือการไปกับที่บ้านก็เป็นแค่ ผู้ร่วมทริปทุกอย่างพี่ชายจะจัดการหมด... แต่ครั้งนี้ถือเป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของเดียวของผมเลย (ย้ำอีกแล้ว) นอกเหนือจากนั้นปมจัดการเองทุกอย่างเสร็จสรรพสำหรับคนที่ชอบเดินทางมันคงไม่แปลกอะไร (บางคนแบกเป้ทัวร์ 4 วัน 6 ประเทศคนเดียว เฮฟวี่เวทกว่าผมเยอะ) แต่สำหรับ คนที่อยู่ติดบ้าน ห่างจากบ้านมากสุดแค่ตอนไปเข้าค่าย ร.ด. 4 วัน การไปสิงคโปร์ครั้งนี้นับเป็นวีรกรรมของผมเลยนะครับ(ภูมิใจเบาๆ) เรียกว่าพ่อแม่ พี่ๆและคนรอบข้างรู้เรื่องว่าผมจะไปทริปนี้ สงสัยเป็ เสียงเดียวกัน “ว่าอะไร ทำให้ผมติสแตกได้ขนาดนี้”  (ความเอาแต่ใจสไตล์ลูกคนเล็กล้วนๆ)
 ว่าแล้วเพื่อไม่ให้เปลี่ยนใจ ก็รีบซื้อตั๋วจองโรงแรมผ่านเอเจนซี่ รายหนึ่งที่เซิร์ทเจอในกูเกิ้ล และลางานทันที...(ขอเอ่ยชื่อว่า   Singapore Travel) ปุปปับมาก  11-13ตุลาคม 2556 จบปึ้ง....!!!
ก่อนหน้านี้ผมเคยเกริ่นเรื่องทริปสิงคโปร์กับเพื่อนๆ บ้างครับเผื่อใครจะมีไอเดียอะไรบ้างนำ เสนอ... (สุดท้ายก็ได้คำตอบเดิมคือ... ไม่เห็นมีอะไรเลย) โดยก่อนตัดสินใจจองตั๋ว ผมโพสเล่นๆ ในเฟชบุ๊คแบบไม่ให้รายละเอียด ไปว่า...​ “3 หรือ 4 คืน ดีนะ” ซึ่งมีคนทั้งที่มาคลิกไลค์ (แบบไม่รู้เรื่อง) หรือทั้งคนที่เดาออกมาจะหนีไปเที่ยวและมีคอมเม้นท์เชียร์ว่า “4วันไปเลย” ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “พี่โท”

“พี่โท” คือคนหนึ่งที่เราเป็นเพื่อนกันในเฟชบุ๊คมานานแล้วครับ แต่ผมจำไม่ได้ พี่โทมัก ชอบ มาทิ้งไลค์ ทิ้งคอมเม้นท์ในโพสที่ผมเขียนถึงการไปดูหนัง ดูละครเวทีบ่อยๆ พี่โทเคยอินบ็อกมาคุย กับผมหลายครั้ง แต่ผมจะพี่เขาไม่ได้ (ดูเป็นคนที่แย่อะไรได้ขนาดนี้) จนหลังๆ นี่แหละครับเรา คุยกัน บ่อยขึ้น...และหลังจากที่ผมเริ่มโพสความคืบหน้าทริปสิงคโปร์บนหน้าวอลล์ พี่โทก็ทราบและสนใจจะไปร่วมทริปด้วย

อีกคนหนี่งที่สนใจทริปนี้เหมือนกันคือ “นุ๊ก”.... หนุ่มคนนี้ผมรู้จักเขาใน เฟชบุ๊คเหมือนกันครับ เขาชอบเขียนรีวิวเกี่ยวกับละครเวที และมีบล็อคของตัวเองชื่อiSANOOKพอ Follow กันทางเฟชบุ๊ค  ทวิสเตอร์กันไปมา ก็สืบรู้ว่าบ้านเราอยู่ใกล้กันมากประมาณขีจักรยานไปหาได้ในไม่กี่นาที…
มีหลายคนที่สนใจทริปนี้นะครับ ทั้งเพื่อน พี่ที่รู้จัก...และขอไปร่วมทริปด้วยแต่เพราะว่าทริป นี้เป็นทริป “ถ้า...นัดล้างตาที่คาใจ” ดังนั้นการกระเตงใครไปด้วยอีกครั้งคาดว่าคงไม่รอดพ้นทัวร์ดมแบบเดิม ผมจึงขอติสแตกตั้งกติกาของทริปคือ เราไปเที่ยว
ด้วยกันได้ แต่เป็นการจอยทริป ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างพัก ไปเจอกันที่นั่นในบางโปร-แกรมที่มีความสนใจร่วมกัน นอกเหนือจากนั้นก็แล้วแต่อัธยาศัย  (สำหรับพี่โทและนุ๊กถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ คงเข้าใจเหตุผลจริงๆ ของผม ที่ยังเคยบอก ไปนะ ครับ...ขอโทษที่บอกช้าไปหน่อย)  พี่โทครีเอทกรุ๊ปในไลน์แชทชื่อว่า “Singapore Trip” และเชิญผมเข้าไปผมก็ไปเชิญนุ๊กเข้ามาอีกที พอทุกอย่างเริ่มลงตัว โปรแกรมของทุกคนก็ออกมา



นุ๊กจะเดินทางไปแบบแบคแพคเกอร์  บินจากกรุงเทพค่ำวันพฤหัสบดี ถึงชางกีตอนดึกๆ นุ๊กติสพอที่จะขอนอนในสนามบินในคืนแรก  และในคืนถัดๆเขาเลือกพักที่โฮสเทลราคาคุ้มค่าชื่อว่า Beary Best Hostel ตั้งที่ถนน Upper Cost ใกล้ๆ ย่านดังไชน่าทาวน์ โดยเป้าหมายของ นุ๊กคือการไป ได้ดู Garden by the Bay, นั่ง Singapore Flyer,เที่ยวเล่นใน Universal Studio ที่เกาะ เซ็นโตซ่า, แวะร้านเค้กแสนเกร๋ ที่แต่งร้านเป็นธีม “เจ้าชายน้อย” ในย่านลิตเติ้ลอินเดีย... ก่อนแวะมุตา ฟาแวะซื้อของฝาก กลับไทยในเช้าตรู่วันอาทิตย์​(มาก่อน กลับก่อน)

ส่วนพี่โท  หาเพื่อนคนนึงไปแชร์ค่าห้องด้วย (รู้ชื่อตอนมาเจอกันว่าชื่อ พี่เอส) พี่โทมีความ ตั้งใจ อย่างแรงกล้าที่จะ เที่ยวเล่นใน Universal Studio ที่เกาะเซ็นโตซ่า, และโปรแกมนอกนั้น ก็หลวมๆ เน้นชิลๆ พักผ่อนไปตลอด 3 วัน 2 คืน

ส่วนผมหลังจากหยิบเอาสถานที่คาใจ มาจับใส่ใน 3 วันแล้ว ท่าจะไม่รอดเลยตัดสินใจ อยู่ต่ออีก 1 วัน รวมเป็น 4 วัน 3 คืน… (เอาให้สะใจกันไปข้างนึง) ผมเลือกพักที่โรงแรมเดิมที่เคยมากับ ที่บ้านตอนเดือนมกราคมที่ผ่านมา คือ โรงแรม Hotel 81 Bencoolen (เบนคูเลน) ระดับ 3 ดาว ที่แม้ไม่หรูหราแต่ สะอาดสะอ้านเรียบร้อย และดีงามมาก เพราะมีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) เสยอยู่เกือบ จะหน้า โรงแรม สะดวกต่อการเดินทางมาก มีศูนย์อาหาร 24 ชั่วโมงอยู่ไม่ไกล  แถวนั้นเป็นย่านเมืองเก่าด้วย (คล้ายราชดำเนินอะไรอย่างนั้น) จึงมีสถานที่สำคัญหลายแห่งตั้งอยู่มากมาย อย่างน้อยก็พิพิธภัณฑ์ 4 แห่ง... วังเก่า...โบสถ์เก่า... เดินไป อีกนิดก็ถึงออร์ชาร์ด แต่ไม่น่าเชื่อว่าทำเล ทองขนาดนี้ กลับสงบ และ ร่มรื่นเลเวล 10.5 (เต็ม10)  แม้ราคาจะแพงนิดไป
หน่อย แต่เทียบกับสิ่ง ที่ได้ก็ยินดีทุ่มครับ และพี่โท ก็ตัดสินใจพักโรงแรมเดียวกับผม

ความตั้งใจอีกของทริปนี้และเป็นคอนเส็ปจะต้องรักษาไว้ตลอดคือการ “ตีสนิท” เมืองสิง ลักษณะทริปจึงเน้นเที่ยวที่ที่อยากไปมากๆ  ซึ่งอาจเป็นสถานที่เล็กๆมาก แต่กลับมีเรื่องราว ซ่อนอยู่ หลีกเลี่ยงสถานที่ท่องเที่ยว สุดฮิตที่ สามารถดูที่เมือง
ไทยได้ (อย่างเช่น ไนซ์ซาฟารี หรือ สวนนกจูล่ง)  ส่วนเรื่องอาหารนั้นจะไม่กินหรูครับ เพราะครั้งก่อนกินหรูไปก็พบว่าร้านที่เมืองไทยอร่อยพอกัน แต่ถูกกว่า  กินเพื่อเลี้ยงชีพครับ และให้ความสำคัญกับการนอน...ต้องนอนสบาย เพราะตารางที่วางไว้เรียก ว่า “โหดสัส”ตื่นเช้าทุกวัน เดินทั้งวัน และกลับดึกทุกวัน...​ตลอด 4 วัน  เรียกว่าเรื่องพักผ่อนสำคัญ มากครับ ห้ามป่วยห้ามตาย และห้ามสายผิดจากแผนที่วางไว้ เพราะแม้ช้าไปแค่ 15 นาที แผนใน แต่ละวัน จะรวนและล่มได้ ซึ่งผมคงไม่กลับมา ล้างตาเป็น ครั้งที่ 3 แล้วมั้งครับ

ทริป “ถ้า” นี้จัดตารางค่อนข้างยาก เพราะสถานที่ที่อยากไป มันจับลงไม่พอ 4 วัน 3 คืนครับ  เลยจำเป็นต้องตัดบางสถานที่ที่อยู่ไกล เดินทางลำบาก ใช้เวลาเดินทางนานออกไป จนเหลือเข้มๆ แบ่งเป็นธีมของแต่ละวัน ได้ดังนี้ครับ
วันที่ 1 : The Hilight :  เก็บเกี่ยวสถานที่ไฮไลท์ของสิงคโปร์ให้หมดในวันแรก
วันที่ 2 : The Deep :  เจาะลึกรากเหง้าสิงคโปร์ด้วยการเยือนพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
วันที่ 3 : The Design : ดูงานดีไซน์เก๋ๆ บนเกาะสิงคโปร์ ประเทศเล็กๆ        
                                  ที่ประดิษฐ์ทุกอย่างให้สวย และใช้ประโยชน์ได้
จริง
วันที่ 4 : Shop & Chill  : เดินชิลเล่นๆ ใกล้ๆ โรงแรม

วิวนอกหน้าต่างที่มีแต่เมฆ ตอนนี้เครื่องลดระดับลงมาแล้วเราจึงเห็นผืนดินและผืนน้ำ อยู่ด้านล่าง ซึ่งส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นป่า คาดว่าตอนนี้เราบินอยู่ทางตอนใต้ของมาเลเซียแล้ว... และแค่ละสายตาไปเก็บของและปรับนาฬิกาข้อมือนาฬิกาในโทรศัพท์มือถือให้เดินเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง  มองออกไปนอกหน้าต่าง (มองข้ามปีกเครื่องบินที่ขยับยึบยับขวางสายตาออกไป) ภาพที่เห็นตรง หน้านั้นบรรยายความเป็น “เมืองท่า”ของสิงคโปร์ได้ดีกว่าในหนังสือเรียน เรือจำนวน มหาศาล ลอยคลออยู่ไม่ไกลปากอ่าว
สิงคโปร์ เหมือนทั้งหมดออกมาตั้งขบวนต้อนรับผมเลยครับ... เบื้องหลังเป็นแผ่นดินที่มีตึกสูงๆ หน้าตาแปลกๆ สลับต้นไม้เขียวๆ อัดแน่นไปทั่วเมืองเท่าที่ จะมองเห็นได้จากช่องหน้าต่างเวลานี้ ชวนให้ตื่นเต้นและลงไปตีสนิทกับแผ่นดินนี้ไวไว

ท่าจะถูกต้องตาม ที่คิดไว้... “ท่าจะ ไม่ได้เป็นแค่เมืองท่า ซะแล้ว”....

            และถ้าจะดีกว่านี้ ถ้าเครื่องบินไม่ดีเลย์ไปตั้ง 10 นาที....​10 นาทีเลยนะครับ T^T นี่คือทุกอย่างมันจะเป็นไปตามที่ตั้งใจตั้งแต่ออกจากบ้านเลยหรือนี่



ติดตามตอนต่อไป Chapter 03 Day 01 >> เร็วๆ นี้






ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เรื่องย่อ “Frozen” (Disney's) โฟรเซ่น - ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ” : จากมุมมองของผม หลังชม (review)

สไปร์ท ฮอร์โมน : ซ่าๆ ใสๆ (กินสไปร์ท ต้องใส่ถุง) : (Hormones วัยว้าวุ่น เดอะซีรีย์)

เต้ย ฮอร์โมน : ตำนานแห่งดอกกุหลาบที่ถูกสาป (Hormones วัยว้าวุ่น เดอะซีรีย์)