นิยายเที่ยวสิงคโปร์ : Chapter3_Day1: ขออภัย....ในความไม่ละเอียด (ซิงกะโปโล : Singapolo)


สนามบินชางกีดูเหมือนเล็กถ้ามองจากภายนอก...แต่ทำไมทางเดินมันยาวไกล (เผลอๆ ไกลกว่าสุวรรณภูมิอีก) กว่าจะเดินมาที่ ตม. กว่าจะมารับกระเป๋าก็กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง จากแพ็คเก็ทที่ผมจองไว้มีรถรับ-ส่ง ระหว่างสนามบินและโรงแรมด้วย ซึ่งดีครับเพราะการมาสิงคโปร์ ครั้งที่แล้วผมแทบไม่ได้เดินทางโดยรถยนต์เลย นั่งแต่MRT  อยากเห็นสภาพบ้านเมือง ในแบบเดียว กับชาวสิงคโปรบ้าง
จากเอกสารที่เอเจนซี่ส่งมา บอกว่าให้ไปรอที่ประตูทางออก  คนชื่อ “สตีฟ” จะถือป้ายถือเราและมารอรับ... ว้าว เกิดมายังไม่เคยถูกชูป้ายและมีคนมารับแบบในหนังเลยครับ แอบตื่นเต้นอยู่ และรีบพาตัวเองออกมาที่ทางออกเร็วที่สุดเพราะว่านี่ก็สายกว่าเวลาที่นัดมาเกิน 40 นาทีแล้ว (เอกสารบอกว่าสตีฟ จะรอ 1 ชั่วโมงเท่านั้น)  พอมาถึงทางออกก็เห็นชูป้ายมากมาย พับผ่า... เอเจนซี่น่าให้รูปสตีฟมาด้วยนะว่าหน้าตาเป็นไง ตอนนี้ทำได้แค่อ่านป้ายทุกป้าย ที่มีคนถืออยู่ครับ สรุป “ไม่มีชื่อผมครับ”
                ซากแฟ้บ
                นี่เอเจนซี่ต้มเรารึเปล่าวะ!!! หรือสตีฟรอนานไป เลยหนีกลับไปแล้ววะ!!! ในเอกสารมีแนะนำว่าหากมี เหตุขัดข้องสามารถ โทรหาสตีฟได้ตามเบอร์... ก็ตั้งใจว่าจะโทรเรียกแล้วนะครับ แต่ว่าเจอปัญหาใหม่....  
“ว่าแต่โทรศัพท์สิงคโปร์นี่มันใช้การ์ด หรือใช้เหรียญ หรืออะไรหว่า” ....ตึ่ง!!!!
อว๊ากกกก......... (กรี๊ดในใจเบาๆ)

ก่อนที่จะทำอะไรลงไปเพราะความงุ่นง่าน ขอเช็คให้แน่ใจอีกทีว่าไม่มี “สตีฟ” แน่ๆ แล้วเดินกลับมาที่แถวเหล่าผู้มารับ  คราวนี้จำนวนป้ายน้อยลงกว่าเดิมเพราะบางคนคงเดินทางไปแล้ว... ระหว่างที่อ่านป้ายจนเกือบครบ(และเริ่มใจไม่ดี) ก็มีผู้ชายคนหนึ่งมาต่อแถวเพิ่มครับ ชูป้ายกระดาษที่ เล็กกว่าเอ4  ในเอกสารนั้นมีชื่อเขียนตัวเล็กๆ 3 บรรทัด และ “บิงโก” ครับ  มีชื่อผมอยู่อันดับที่ 2...เย่!!

ออกแนวงงนิดหน่อยนะครับสารภาพ เพราะ “สตีฟ” ที่จินตนาการไว้ในใจ น่าจะเป็นฝรั่งน่ะ ครับ แต่แล้ว “สตีฟ” คนนี้ก็ปิดจ๊อบความจิ้นนั้นครับเพราะเป็นชายหนุ่มไม่สูง ท้วมนิดๆ ผิดคล้ำ และดูท่าทางเป็นชาวอินเดีย....เพื่อให้รอบคอบแน่ใจ ผมเดินเข้าไปแสดงตัวว่าชื่อ “Morrakot –R.”  (พูดอังกฤษใส่ไปก่อน...) แล้วเขาก็แสดงตัวมาคือ “สตีฟ” ตัวจริง... หลังจากเขาตรวจเอกสารของผม และแน่ใจว่าผมคือ “Morrakot R.” ตัวจริง ผมก็ไม่รอช้า...
ผม    : “ไปกันเถอะสตีฟ...ผมพร้อมแล้ว” (คุยเหมือนสนิท)
สตีฟ : ยังไม่ได้

          เหมือนสตีฟจะรู้ว่าผมสงสัย เลยชูป้ายที่ถืออยู่ในมือให้ผมดูใกล้ๆ... ก็จริง...ในนั้นมีชื่ออยู่ 3 คน ตอนนี้มีแค่ผมเท่านั้นที่ถูกขีดฆ่าออกไป... อ้าว!!! นี่ไม่ใช่รถส่วนตัวหรือฟระ!!! อุตส่าห์แอบหนีมาคนเดียวแล้วนะ ยังต้องรอใครอีกเนี่ย!!! (เอาแต่ใจอีก
แล้ว)
         
          รอไม่นานครับ...อีก  2 คนก็ตามมาครับ  หลังจากหนีความอุ้ยอ้ายจากทัวร์ยกแก็งค์  ก็มีเจอทัวร์ยกครัวครับ  อีก 2 คนที่เหลือ คือชื่อ “พ่อบ้านจาก 2 ครอบครัว”  ครอบครัวแรก ประกอบด้วยพ่อ-แม่ วัยสาวและสูกชายอีก 1 คน  ส่วนอีกบ้านประกอบ
ด้วย พ่อ-แม่ วัยกลางคน พอลูกสาววัยทีนเอ็จมา 2 คน และลูกชายเกือบวัยรุ่นมาอีกคน... หลังจากมาครบแล้ว  สตีฟพาเราเดินออกนอกสนามบินไปคอยที่ลานจอดรถ เขาถอยรถตู้มาเทียบตรงที่เรายืนรอกันอยู่ และทะยอยขนของขึ้นรถ  ทั้ง 2 ครอบครัวนี่ “คนไทย” ชัดๆ ครับ  คือหลังจากทักทายกันไม่เท่าไหร่ ก็ชวนคุยกันยาวซะแล้ว(ส่วนใหญ่ไม่ได้คุยนะครับ แค่เล่าสู่กันฟังว่า แต่พวกเขาๆ มาสิงคโปร์ทำไม และมีแผนจะไปที่ไหนบ้าง)  หลังจากขึ้นรถทั้ง 2 ครอบครัวยังคงคุยต่อไปเรื่อยๆ ครับ แต่ผมขอนั่งเบาะเดี่ยว ปิดปาดเงียบ ไม่ร่วมวงกับ 2 ครอบครัวนี้แล้วกัน (ไม่ใช่หยิ่งนะครับ แต่ถ้าถามว่ามาสิงคโปร์ทำไม ผมคงจะตอบสั้นๆ ไม่ได้)
         
           แม้เป็นวันศุกร์ช่วงบ่ายๆ แต่รถก็ไม่ติดครับ... จำนวนรถบนถนนน้อยมาก และที่สำคัญ ข้างถนนจะขนาบด้วยต้นไม้สูงใหญ่ หนาหลายคนโอบ (สูงกว่าตึก 2 ชั้น) แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาครึ้มเชียว  ดูก็รู้นะ ครับว่าเป็นต้นไม้ที่ถูกปลูกมานาน และไม่มีการตัดเลย... ถนนที่นี่ต่างจากบ้านเราคือ ดูแล้ว สะอาด ตามกว่า ครับ เพราะไม่มีเสาไฟฟ้าเลย  เขาซ่อนสายไฟไว้ใต้ดินหมด และปล่อยต้นไม้ได้ งอกเงยให้ร่มเงา เต็มที่ ผิดกับบ้านเราที่อุดมสมบูรณ์กว่า แต่กลับเห็นคุณค่าขอ “ต้นเสาไฟ” มากกว่า“ต้นไม้”โดยพร้อมจะปล่อยสายไฟได้พันยุ่งกันบนฟ้าเต็มที่ และพร้อมที่จะตัดกิ่งก้าน ต้นไม้ทุกต้นที่เข้า ไปข้องแวะกับสายไฟโดยไม่ให้โอกาสต้นไม้ได้งอกเงย สูงใหญ่ให้ร่มเงา.... ไม่แปลกครับที่ในกรุงเทพ เราจะเห็นต้นไม้ “ผีเปรต” ลำต้นผอมกะหร่อง ไม่มีใบ ไม่สูงใหญ่ กระจายตัวอยู่ทั่วเมือง



          ความผิดแผนเกิดขึ้นเบาๆ อีกครั้งเมื่อผมไม่รู้เลยว่าสตีฟขับรถไปไหน ไปส่งใครก่อน แต่เท่าที่เห็นจากสภาพบ้านเรือนข้างทาง สตีฟไม่น่าจะมาส่งผมเป็นคนแรกครับ... กินเวลาไปอีกเกือบๆ 30 นาทีนะครับที่สตีฟพาขับรถดูเมือง และดูเหมือนจะเข้าในโซน “ลิตเติ้ลอินเดีย” (สังเกตจากคน และบ้านเรือน) ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าไปในชายคาโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่พัก ของ ครอบครัวที่มีจำนวนสมาชิก 3 คน... สตีฟดูท่าทางเป็นคนใจดีนะครับ ตลอดทางที่ขับรถ สตีฟจะพยายามทำหน้าที่ไกด์เสนอ ชี้ชวนให้เราดูวิว และอธิบายถึงสถานที่สำคัญต่างๆ ที่ขับรถผ่าน เป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดีย (มี “ลา” ลงท้ายประโยคอยู่บ่อยๆ) ขับรถไม่นานวิวรอบตัวก็เริ่มคุ้นตาผม สตีฟขับรถเข้ามาในตรอกเล็กๆ ซึ่งผมรู้ทันทีว่าเป็นด้านหลังโรงแรมที่ผมพักนั่นเอง... เมื่อรถจอด ผมก็รู้คิวทันทีครับ กระชับกระเป๋าที่สะพายไหล่ไว้ให้มั่น กระเด้งตัวจากรถสตีฟลาก กระเป๋าจากท้ายรถมาให้และนัดหมายเวลามารับกลับ... ผมกล่าวขอบคุณและวิ่งเข้า โรงแรมหายไป(สตีฟคงงงว่ามันจะรีบอะไรขนาดนี้)

            ง่ายๆ สั้นๆ รู้คิวครับ เช็คอินเร็วรี่ ตอนนี้บ่าย 3 แล้วครับ ตามแผนเวลานี้ผมต้อง กินข้าว ซื้อซิมมือถือเสร็จเรียบร้อย... และนั่งรอ “นุ๊ก” มาร่วมจอยทริปที่“โกปิเตียม”(Kopitiem) ศูนย์อาหาร ใกล้ๆ โรงแรม... โชคที่ชางกีมีไวไฟฟรีครับ เลยคุยกันผ่านไลน์ว่าผมคงเลท แต่ผมยืนยัน ว่าจะไปตาม ที่เรานัด...ตอนนี้นุ๊กกับพี่โท บังเอิญไปเจอกันแล้วที่วัดพระธาตุเขี้ยวแก้วแถวไชน่าทาวน์ครับและตอนนี้ แยกกันแล้วสักพัก นุ๊กกำลังเดินทางมาหาผม นุ๊กเล่าให้ฟังว่าหาซื้อซิมมือถือได้แล้ว เป็นของ “SingTel” ราคา 15 เหรียญ แต่มูลค่า 18 เหรียญ สามารถใช้ไวไฟได้ 6 GB  ภายใน 3 วัน เพียงพอสำหรับการ ไลน์ติดต่อกัน 3 คน และยังเหลือๆ อัพรูปลงอินสตาแกรม เฟชบุ๊ค ทวิสเตอร์ โฟร์สแควร์อีก (แฮปปี้เวอร์)... ตอนนี้ผมไม่รู้ว่านุ๊กครับ ไม่เป็นไร ขอเวลาสัก 5 นาที ไปซื้อซิมและบัตรรถไฟฟ้าครับ
           
            ด้านหลังของโกปิเตียม มี 7-11 อยู่ ตรงเค้าท์เตอร์ผมเห็นป้ายโฆษณาซิมที่นุ๊กพูดถึง แต่พอขอซื้อพนักงานบอกว่า “แบบที่เป็นไมโครซิมสำหรับไอโฟนหมด” และแนะนำให้ไปซื้ออีกร้านโดย บอกทางให้เดินเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ข้ามถนน แล้วเลี้ยวขวา
เลี้ยวซ้าย เจอแยกข้ามถนน แล้วเลี้ยว ขวาจะเจอร้าน ซึ่งราคาถูกกว่าด้วย... ผมก็ยิ้ม ส่งแววตาเข้าใข และขอบคุณพนักงานผู้แสนดีคนนั้น แต่ใจจริงแล้วอยากจะบอกกับเฮียเหลือเกินว่า
            “กูงงตั้งแต่เลี้ยวแรกแล้วล่ะ...”

            ไม่เป็นไร 7-11 มีอยู่เกลื่อนทั่วสิงคโปร์ และทุกสถานีต้องมี เลยตัดสินใจเดินลง MRT สถานี Bras Basah (บลาส บลาซา) เพื่อทำภาระกิจ 2 อย่าง....  1คือซื้อซิม และ 2 ซื้อ บัตร MRT แบบ เหมาจ่ายไม่จำกัดเที่ยวตลอด 3 วันที่ชื่อว่า “Tourist Pass
            มิชชั่นแรกรีบแวะ 7-11 ทันที สาขา Bras Basah เป็นห้องเล็กๆ ที่มีพนักงานหญิงผิวคล้ำ ชาวอินเดียเป็นพนักงานอยู่เพียงคนเดียว หลังจากเอ่ยถามถึงไมโครซิมนางก็ตอบด้วยสำเนียง ประหลาดที่ฟัง ยากได้อีก (ตัวเองก็ไม่ได้ สำเนียงดีนะ)  แต่จับใจ
ความได้ว่า “ไม่มีจ้า…. ไม่เป็นไร 7-11 มีอยู่เกลื่อนทั่วสิงคโปร์  ขอทำมิชชั่นที่ 2 ก่อนแล้วกัน
            ครั้งที่แล้วที่มา พี่ชายผมซื้อบัตร Tourist Pass ให้ครับ สบายกาย และสบายใจมาก คือเหมาจ่าย สามารถเดินทางได้ไม่จำกัดเที่ยว  จริงๆ บัตรโดยสาย MRT   ของสิงคโปร์จะมี  3 ประเภท ครับ  1) Standard Ticket ตั๋วเที่ยวเดียวเหมือนบ้านเรา ราคาก็
แล้วแต่ความใกล้ไกลซื้อได้ตามเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติในสถานี MRT ทั่วไป  2) EZ Link  เจ้าตัวนี้เป็นบัตรเติมเงินครับ คิดค่าเดินทางต่อ เที่ยวตามความใกล้ไกล แต่ที่พิเศษคือสามารถใช้กับรถเมล์ รถแท็กซี่ และเหมือนบัตรเรบบิท บ้านเรา ที่สามารถใช้จ่ายแทนเงินสดในร้านค้าที่ร่วมรายการด้วย แต่บัตรนี้ซื้อกับเครื่องออกตั๋วอัตโนมัติไม่ได้ ต้องซื้อกับ Passenger Service ตามสถานี MRT ต่างๆ   3) Tourist Pass ที่พูดถึงครับมีให้เลือก 3 ประเภทตามวัน  คือแบบ 1วัน (S$ 10) 2วัน (S$ 16) 3วัน (S$ 20)  กติกาพิเศษคือจะคิดค่ามัดจำเพิ่ม อีก S$ 10  แต่จะได้เงินนี้คืน ถ้าเอาบัตรมาคืน ภายใน 5 วันนับจากยอดเงินหมด… จากการวางแผน ทริปนี้ผมใช้ MRT เป็นหลัก วันหนึ่งขึ้นๆ ลงๆ อย่างน้อย 5 ครั้ง คำนวณดูแล้ว การซื้อ Tourist Pass แบบ 3 วัน คุ้มค่า จุใจ ตอบโจทย์ที่สุด... ไกด์บุ๊คบอกว่าบัตรนี้ซื้อบัตรนี้ได้ตาม Passenger Service ที่มีจำหน่าย ….ซึ่งความไม่รอบคอบของผมทำให้เข้าใจว่า “ทุกสถานี” แต่สรุป ไม่ใช่ครับ…. เจ้าหน้าที่ บอกกับผมหลังจากไปติดต่อล่อซื้อว่า  บัตรนี้มีขายเฉพาะสถานีใหญ่ๆ เท่านั้น และที่ใกล้ที่สุด คือสถานี “City Hall

            “ซิมก็ไม่ได้...บัตรก็ไม่ได้...หิวๆ ก็หิว...ซากอ้อยที่สุด”
           
            ตัดสินใจไม่รอช้า...เพราะช้ากว่านี้ไม่ได้แล้วครับ  ถ้าไม่ทำอะไร ก็จะไม่ได้อะไรสักอย่าง ทริปต้องพังพินาศไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ผมตัดสินใจตีตั๋วไปสถานี City Hall ตามคำแนะนำ  2 สถานีนี้จริง ไม่ได้ อยู่ห่างกันนะครับ แต่มันคือคนละสาย... ผมจำเป็นต้องนั่งย้อนไปสถานี “Dhoby Ghaut” (โดบี้ โก๊ต) เพื่อเปลี่ยนจากสายสีส้ม ไปขึ้นสายสีแดงเพื่อไป  City  Hall อีกที... (เสียเวลาไปอีก ฮ่วย!!!)  แต่ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ก็มาถึงครับ  แม้จะซับซ้อนหลายชั้น และมีหลายเคาท์เตอร์แต่ผมก็หา Passenger Service จนเจอและสอยบัตร Tourist Pass ประเภท 3 วัน มาได้สำเร็จครับ  โอ่ว์… !!!
            ปัญหาอยู่ที่ขากลับครับ เพราะตอนดั้นด้นขึ้นมาจากสถานีเพื่อซื้อตั๋วก็รีบเดินครับเลยไม่ได้ จำทาง..พอซื้อตั๋วเสร็จแล้วจะกลับถึงกับเคว้งครับ เพราะไม่รู้ต้องไปทางไหน ลงขึ้นขึ้นไปตรงไหน .... พอมีสติก็เห็นป้ายชี้ไปทางไปสถานี City Hall ก็เดินตามครับ... เดินไปเรื่อยเจอ 7-11 สาขาใหญ่ อลังการมาก…เลยไม่สนใจทาง (อีกแล้ว) มุ่งไปซื้อซิมก่อนเลย เพราะป่านนี้ถ้านุ๊กมานั่งรอ คงใจไม่ดี แล้วแน่ๆ เพราะเรทมาร่วมชั่วโมงพนักงานในร้านนี้เป็นชายหนุ่มผิวคล้ำ เป็นอินเดีย (อินเดียอีกแล้ว) หลังจากเข้าไปล่อซื้อ ชายหนุ่มก็มีขาย… เป็นรุ่นเดียวกับที่นุ๊กบอกเป๊ะๆ พนักงานของพาสปอตเพื่อลงทะเบียนและใช้เวลาสักครู่หนึ่ง  หลังจากเดินรอบร้านไปทั่วแล้ว ด้วยความหิวก็เลยสอยแซนวิชไข่มา ด้วยอีก 1 ชิ้น ราคา S$  3 (เกือบ 80บาท)  เพื่อกินกันตาย...ชีวิตพังพินาศจริงๆ

            เมื่อสายแล้วก็สายให้มันสุดครับ ผมเดินตามทางมาเรื่อยๆ ตลอดทางมีร้านค้าแบรนด์ดังๆ และร้านอาหารมากมาย ให้อารมณ์เหมือนเดินอยู่ในเซ็นทรัลชิดลมอะไรแบบนั้นแต่น่าเสียดายที่แวะ ไม่ได้ครับ  ด้วยความที่ทางเดินแห่งนี้กว้างใหญ่มาก ผมก็รู้สึกว่า​ “หลง” เพราะไม่เจอสถานีไหนสักที เลยเริ่มสังเกตป้ายรอบๆ ตัว ก็รู้ว่าผมเดินอยู่ในแหล่งช้อปปิ้งที่ชื่อ City Link Mall” แบบไม่รู้ตัว ผมไม่ได้หลงไปไหนไกลหรอกครับ แค่วนๆ อยู่ในนี้เท่านั้นเอง เพราะที่นี่คือแหล่ง ชอปปิ้ง Under ground สำคัญที่เชื่อมระหว่าง MRT  City Hall และ Esplanade เข้าไว้ด้วยกัน... พอเริ่มจับทางได้ อาการผีบังตาก็คลายครับ ป้ายชี้ไปสถานี City Hall  กระแทกตา แต่ไกล...ผมเดินไปตามป้ายก็มาถึง เลยครับ
“สถานี Esplanade” (มันคืออัลไร๊....)

            แต่ก็นับเป็นโชคช่วยนะครับ เพราะสถานี Esplanade กับ Bras Basah อยู่ในสายสีส้ม เหมือนกัน  และห่างกันแค่สถานีเดียวเท่านั้น  เมื่อมาถึงปลายทางและนั่งที่โต๊ะหนึ่ง ในร้านโกปิเตียมได้ แล้ว ก็ถึงขั้นตอนการเปลี่ยนซิมโทรศัพท์มือถือครับ…ก็ต้องยอมรับนะครับว่าสตี๊ฟ จ๊อบส์ เนี่ยเขาออก แบบไอโฟนมาดีมาก การเปลี่ยนซิมจำเป็นต้องใช้เข็มยาวๆ ที่แข็งแรงจิ้มไปในรู เพื่อให้ถาดใส่ซิมโผล่ ออกมาจึงสามารถเปลี่ยนได้ ถือว่าแน่นหนา ซิมไปหลุดหายง่ายๆ แน่  แต่ในกรณีนี้สิครับ ผมพยายามหาสิ่งที่จะจิ้มรูให้ถาดซิมออกมา ที่หาได้คือ “ไม้จิ้มฟัน” ซึ่งไม่ใหญ่กว่ารู จบเห่ครับ!!! โชคดีที่พกเข็ม เย็บผ้ามาด้วย แต่อยู่ในห้อง  เลยโชคร้ายต้องเดินกลับโรงแรมเพื่อไปเปลี่ยนซิม…
            “กลับมายืนที่เดิม ที่ที่เคยคุ้นตา…”

            เข็มหมุดจิ้ม เปลี่ยนซิม ใช้ไวไฟ (ที่ไม่ไว) ของโรงแรมทันที มีไลน์ที่ไม่ได้อ่านอื้อเลยครับ  แต่คุยไปคุยมา นุ๊กก็ยังอยู่ระหว่างเดินทางมาหาผมครับโชคดีไปที่ไม่ได้ทำให้นุ๊กรอเพราะ เราสองต่าง เลทด้วยกันทั้งคู่ ผมจึงใช้เวลาในห้องในการสมัครแพคเก็จไวไฟของ SingtTel และเคลียร์คิว กับทั้งนุ๊ก และพี่โทใหม่ โดยลงตัวที่ว่า ตอน 4 โมงผมจะไปเจอนุ๊กที่ Fort Canning Park” ตามสถานที่ที่ นัดกันไว้แต่แรก และทั้งผมและนุ๊กจะไปเจอกับพี่โทที่สถานี “Bay Front” ตอน 5 โมง 15 เพื่อไปเดิน  “Garden by the Bay” ด้วยกัน
            นี่ขนาดยังไม่ทันข้ามวัน วันแรกก็ออกมาเพลียได้ขนาดนี้  ทั้งนี้ได้วางแผนไว้รอบคอบแล้วแท้ๆ แต่ก็กลับมีเรื่องที่ไม่รู้เกิดขึ้นมาตลอดจนได้...ผิดกับการเดินทางครั้งที่ แล้วกับที่บ้านที่ แทบไม่ ต้องทำอะไร แค่นั่งรอ พี่ก็จัดแจงซื้อบัตรรถไฟฟ้า ชี้ทางให้เสร็จสรรพ ผมก็เดินเที่ยวเล่นสบายใจ... และจู่ๆ ซีนดราม่าก็บังเกิดครับ ตรงหน้าไม่ไกลนักคือ  National Museum ห่างจากโรงแรมแค่เดินไม่ ถึง 5 นาที... ทางนี้เดินเส้นนี้ผมและที่เคยเดินนำพ่อแม่อย่างตื่นเต้นเพื่อไปอาคารหลังนั้น แต่วันนี้ข้าง หลังผมไม่มีใคร

            เลยได้แต่พิมพ์ไลน์ในกรุ๊ปทิ้งไว้ว่า “นุ๊ก รีบมานะ เราจะรอ”

ติดตามตอนต่อไป Chapter 04 Day 01 >> คลิก
http://morraget.blogspot.com/2014/05/Singapolo-Ch4-D1-morraget-SingaporeTrip2013.html 







ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เรื่องย่อ “Frozen” (Disney's) โฟรเซ่น - ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ” : จากมุมมองของผม หลังชม (review)

สไปร์ท ฮอร์โมน : ซ่าๆ ใสๆ (กินสไปร์ท ต้องใส่ถุง) : (Hormones วัยว้าวุ่น เดอะซีรีย์)

เต้ย ฮอร์โมน : ตำนานแห่งดอกกุหลาบที่ถูกสาป (Hormones วัยว้าวุ่น เดอะซีรีย์)