นิยายเที่ยวสิงคโปร์ : Chapter5_Day1: ธรรมชาติ... ทำมนุษยชาติ (ซิงกะโปโล : Singapolo)



            ผมและนุ๊กเดินย้อนมาทะลุ National Museum ข้ามถนนมาที่ University of Management เดินลงชั้นใต้ดินของอาคารหลังหนึ่งที่ทะลุกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินได้เลย  จากสถานี Bras Brasah (บลาส บลาซา....) เราสามารถไป Garden by The Bay ได้
ง่ายมากด้วย MRT สายสีส้ม ไปลงสถานี Promenade และเปลี่ยนสาย ย้อนมาลงสถานี Bay Front  ทางออกของสถานีเสยหน้าสวนเลยครับ สะดวกมาก ซึ่งผมนัดพี่โทไว้ที่นี่ครับ... ตอนนี้เราสองคนมาถึงแล้ว แต่พี่โทและเพื่อนยังไม่มาถึง  จากที่คุยไลน์กันได้ข่าวว่าหลงไป หลงมา  พอเวลาเลย 6 โมงมาสัก 30 นาที พี่โทและเพื่อนที่ปรากฏตัว

            “เสื้อ Hormones The Series  สี่เหลือง ลอยทะลึ่งมาแต่ไกล”

            แม้จะเป็นครั้งแรกที่ผมและนุ๊ก ได้เจอพี่โท (และเพื่อน) แต่ก็ไม่ได้เคอะเขินครับ ไม่รู้สึกเหมือนเจอคนแปลกหน้าที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก แต่สำหรับผมรู้สึกว่าเหมือนเจอเพื่อนเก่าที่ ไม่ได้เจอกันนาน มากกว่า... นี่คงเป็นข้อดีของเฟชบุ๊ค หรือเหล่าโซเชียลเน็ทเวิร์คทั้งหลายมั้งครับ ที่ทำให้เราได้รู้จักคน ใหม่ๆ  ได้เห็นหน้ากัน ได้พูดคุยกันแบบมีระยะห่างในช่วงแรก ได้พูดคุย ได้ทำความรู้จัก ได้แลกเปลี่ยน ทัศนคติ ได้มีสิ่งสนใจบางอย่างร่วมกัน ได้รู้ว่าวันนี้เขาทำอะไร เจออะไร รู้สึกอย่างไร เรามีช่องทาง ติดต่อกันมากขึ้นบ่อยขึ้น บางทีเราอาจจะรู้สึก “สนิท” โดยไม่ต้องเจอกัน “สักนิด” ก็ได้

            “ตัวอย่างก็นุ๊ก และพี่โทนี่ไง... เพื่อนใหม่ที่มีต้นกำเนิดจากไทม์ไลน์”

            พี่โทและนำให้รู้จักเพื่อนที่มาด้วยกัน, พี่เอส, (ท่าทางพี่เขาพูดน้อยครับ...และเป็นแบบนั้นทั้งทริป พูดดักไว้ก่อนเลย) เมื่อครบขา ก็เดินหน้าสู่เป้าหมายกันทีทางเดินเชื่อมต่อจาก MRT นี้มีป้ายบอกชัดเจนว่าสามารถเดินไป Gerden by The Bay ได้เลย...สิ่งแรกที่ทำให้ชอบอีกแล้วคือ การ บิลด์อารมณ์ ก่อนที่จะเข้าสวนตั้งแต่ทางเดินนี่เองครับ  ผนังทางเดินทั้งสองข้างตลอดทางจะถูกแบ่งออกเป็นบานๆ โดยจะติดบานสติ๊กเกอร์รูปดอกไม้ดอกใหญ่ๆ สไตล์ป๊อปอาร์ท สลับบาน กระจกไปเรื่อยๆ และทั้งสองข้างซ้ายขวา จะมีเทคนิคพิเศษการติดสลับบานกัน ด้านซ้ายเป็นบานสติ๊กเกอร์ ด้านขวาจะติดกระจก... ทำให้เกิดภาพมหัศจรรยจ๊าบกล้วย คือกระจกทั้งสองฝั่งสะท้อนภาพกันไปมา ลึกไปเรื่อยๆ  ทำให้เห็นกำแพงออกไม้มหาศาลลึกไปทั้งซ้ายขวาไม่รู้จบครับ  ถือเป็นการโอ้โรมเร้า อารมณ์ได้สุดๆ จริงๆ...​และแน่นอนแค่ทางเดินเข้าคนก็รัวชัตเตอร์แอ็คท่าถ่ายรูปกันเหนื่อยแล้ว


            ผุดจากทางออก MRT ภาพที่ต้อนรับเราก็ชวนตื่นเต้น.. Super Tree” ดงใหญ่โผล่ยอด เหนือต้นไม้จริงมายั่วเราเลยครับ วันนี้คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่นักถึงตรงนี้ไม่มีป้ายบอกครับว่าต้องเข้า สวนทางไหน แต่ก็ไม่ยากเกินไป เพราะเป้าหมายอยู่ตรงหน้าชัดเจนอยู่แล้ว เราก็แค่เดินไปเรื่อยๆ ให้ใกล้สวนมากที่สุด หรือไม่ก็เดินตามๆ คนข้างหน้าไปเรื่อยๆ ก็ถึงเหมือนกัน

            ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติมากในทุกระดับ โดยมีนโยบาย จะทำให้ประเทศเป็น “เมืองในสวน” เพื่อเอื้อต่อการทำงาน ใช้ชีวิต และพักผ่อน เริ่มลงมือตั้งแต่ทั้ง การรณรงค์การเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับเมืองทั้งใน อาคารและ
ที่พักอาศัย ตามถนนหนทางก็มีต้นไม้อวบสูงชะรูดแผ่กิ่งก้านร่มรื่นไปทั่วเมือง ในการวางผังเมืองก็มี การเผื่อโซนเอาไว้ นอกจากนี้ยังมียังมีพื้นที่ป่าฝนขนาดใหญ่กลางใจเมืองชื่อว่า “บูกิตติมาห์ เนเจอร์ รีเสิร์ฟ” (Bukit Timah Nature Reserve) ที่นอกจากจะทำหน้าที่เป็นแหล่ง ออกซิเจนพ่วงแล้ว  และภายในสวนแห่งนี้ยังมีสวนพฤกษชาติที่มีจำนวนพรรณไม้ในเขตป่าสงวนมากกว่าทวีปอเมริกาเหนือซะอีก และถ้าจะนับ “ป่ากลางเมือง” หย่อมเล็กหย่อมน้อยที่กระจายทั่วทั้งเมือง


            Garden by The Bay เป็นอีกหนึ่งเมกะโปรเจค “สวนในเมือง” ที่เสริมความเป็น “เมืองในสวน”  เพื่อให้ชัดเจนขึ้นไปอีก และเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาของมารีน่าเบย์ด้วย  สวนแห่งนี้เพิ่งเปิด ตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 29 มิถุนายน พ.ศ.2555 นี่เอง ภายในประกอบด้วยสวนในแบบต่างๆ พร้อม ทั้งพรรณไม้นานาชนิดจากทั่วโลกโดยสวนจะแบ่งออกเป็น 3 โซนประกอบด้วย Bay South, Bay East และ  Bay Central ซึ่งทั้ง 3 โชนไม่ได้อยู่ติดกันนะครับ บริเวณนั้นเหมือนสามแยกแม่น้ำสิงคโปร์ ถ้าสร้างเสร็จ 3 แยกนี้จะเป็น “สวนสามแยกเลย” ใหญ่โตมาก… เพราะสวนที่เปิดให้เข้าชมแล้วแค่โซน  Bay South เท่านั้นเอง… ซึ่งวันนี้เราทั้ง 4 ได้ข้ามสะพานไม้ยาวๆ ข้ามลำน้ำเข้ามาเหยียบเขตสวนแล้ว ที่นี่ผ่านประตูเข้าไปฟรีครับ แต่พื้นที่บางส่วน ต้องเสียเงินเข้าชม
            พื้นที่ในสวนไม่ได้เรียบ เสมอกัน เป็นระนาบครับ มีการเล่นระดับสูงๆ ต่ำๆไปตลอดสวน ทำให้ใช้แรงในการเดินมากหน่อย พื้นที่ภายในถูก แบ่งเป็นโซนยิบโซนย่อย  ทำให้ทางเดินวนเวียนซอยถี่มากชวนหลงเอาง่ายๆ   หลังจากเดินดูกันไวๆพบว่า
พื้นที่ภายในถูก แบ่งเป็นโซนยิบโซนย่อย และมีแค่โซนเด่นๆ  เช่น “สวน 3 ชาติ”,“ดงSuper Tree” และ “2โดม” (ชื่อแต่ละโซนนี่ตั้งเองนะครับ) เป้าหมายของเราคือการมา 2 โดมนี้แหละครับ  แต่จะถูกดักให้ต้องเดินผ่านสวน 3 ชาติก่อนซึ่งประกอบด้วย สวนจีน, สวนอินเดีย, สวนมาเลย์  ที่หยิบเอาพันธ์ไม้ของประเทศนั้นๆ มาปลูกรวมกันและสร้างบรรยากาศให้เหมือนอยู่ในประเทศนั้น  จากการเดินดูไวๆ แล้วก็บอกตามตรงว่า สวน 3 ชาตินี่เฉยๆ มากนะครับ เช่น สวนจีนที่เราเดินผ่านเป็นที่แรก ก็คือมีซุ้มประตู
วงกลมเล็กๆ คล่อมทางเดินไว้ แล้วก็มีต้นไม้ปลูกไว้รอบๆ เท่านั้นเอง…
           
            เดินลึกเข้ามาด้านในก็จะเจอ โดมกระจกขนาดใหญ่ 2 โดมอยู่ใกล้กันครับ โดมที่อ้วนป้อม ชื่อว่า   “Flower Dome” และโดมที่ผอมสูง ชื่อว่า “Forest Dome”  2 โดมนี้ต้องเสียเงินเข้าชมครับ โดยตั๋วจะรวม 2 โดมไว้ให้เลย สนนราคา ผู้ใหญ่ S$ 28  เด็กอายุต่ำกว่า 12 ขวบ S$ 15  ที่จริงตั๋วนั้นซื้อหน้าโดมได้เลย แต่เพราะรู้เป้าหมายไว้แล้วก่อนเดินทางแล้วเราเลยตกลงจะซื้อตั๋วเข้า โดม  จาก Sea Wheel Travel ให้าง People แถวไชน่าทาวน์   (ซึ่งเป็นร้านที่มีตั๋วสถานที่ท่องเที่ยว ดังๆ ขายในราคาถูกกว่าซื้อในสถานที่นั้นๆ)  นุ๊กที่โรงแรมอยู่แถวนั้นเลยอาสา แวะไปซื้อให้สำหรับ พวกเราทั้ง 4 คน ซึ่งก็ น่าพึงพอใจเพราะเราเสียเงินแค่คนละ S$ 20 เท่านั้นเอง   และเริ่มภาระกิจที่ “Flower Dome” ก่อน


            “Flower Dome” เป็นโดมที่จัดแสดงพืชในโซนแห้งๆ เย็นๆ ซึ่งอุณหภูมิภายในก็ควบคุมให้เย็นๆ แห้งๆ ตามไปด้วย  โดมนี้แบ่งพื้นที่เป็น 2 ชั้นครับ เราเริ่มเดินที่ชั้นบน ทางปีกขวา ก่อนซึ่งมี พื้นที่แค่ครึ่งชั้นซึ่งเต็มไปด้วยพืชจำนวกพืชทะเลทรายเช่น กระบองเพชร หรือพืชกอเล็กๆ ทรงแปลก  (อารมณ์ประมาณกุหลาบหิน)  ปลูกไว้สลับการจัดส่วนด้วยหิน และฟอสซิลประหลาดๆ ส่วนในปีกซ้าย จะรวบรวมต้นไม้ยืนต้นสูงที่มีใบเขียวไว้ ซึ่งจากการดูเร็วๆ น่าจะเป็นต้นเมืองหนาวโซนยุโรปหรือ เมติเตอร์เรเนี่ยน อะไรเทือกนั้น  ความน่าสนใจของชั้นบน ไม่ใช่มีดูการจัดสวนที่สวน แต่มีดูความหลากหลายของต้นไม้ทรงแปลกตาซะมากกว่า

ไม่นานเราก็ย้ายกันลงมาชั้นล่างชั้นล่างนี้เหมือนแบ่งพื้นที่ 2 ส่วนครับส่วนที่ดูเหมือนถาวรคือร้าน อาหารกลางสวนที่ผนัง ร้าน เป็นกระจกทั้งหมด มองออกมาชมวิวสวนภายนอกได้ และนอก พื้นร้านอาหาร ดูเหมือนเป็นพื้นที่เปล่าที่จัดแสดงการจัดสวนแบบหมุนเวียน ซึ่งช่วงนี้น่าจะแต่งสวนเป็นธีมประเทศอินเดียหรืออาหรับ อะไรสักอย่าง(อ่านไม่ทันจริงๆ ครับ  แต่มารู้วันหลังๆ ว่าช่วงที่ผมไปเป็นช่วงเทศกาล Diwali ของอินเดียเขา...นอกจากจะมีงานเทศกาลคึกคักที่ย่านลิตเติ้ลอินเดียแล้ว ที่โดมนี้ยังแต่งดอกไม้ให้เข้ากับเทศกาลนี้ด้วย) โดยนำเสนอผ่านพืชดอกและไม้ยืนต้น แซมด้วยงานหัตถกรรมของเครื่องใช้ เช่น ตุ๊กตาไม่แกะสลักรูปสัตว์ ธงแขวน ผ้าทอ ถ้วยชาม โต๊ะ เก้าอี้ ซึ่งบอกกันตรงๆ ว่าถ้าดูเฉพาะดอกไม้ก็สวยดีครับ เจอดอกไม่แปลกๆ ดอกใหญ่ๆ ในสภาพสมบูรณ์เยอะดี แต่ถ้าพูดในแง่ความสวยงามในการจัดสวยก็ถือว่าเฉยๆ ครับ แม้จะดูแน่นเต็มสวนแต่เหมือนขาดดีไซน์ (หรือผมตาไม่ถึง…อึก!!!!)


            ทางเดินออกจาก Flower Dome เป็นอุโมงค์มืดๆ ที่ทำเป็นนิทรรศการย่อมๆ ซึ่งไม่หนีเรื่อง ต้นไม้ดอกไม้นี่แหละครับ เน้นการนำเสนอที่ทันสมัยหน่อย เช่น ผ่านเกมส์หรือภาพเคลื่อนไหว และจากการดูทั้งหมดเรา 4 คนให้คะแนนในระดับ “ก็โอเคนะ”… และพุ่งความหวังครั้งใหม่ไปที่ “Forest Dome”  เพราะในนั้นมีสิ่งน่าตื่นเต้นและถือเป็นอีกไฮไลท์หนึ่งของ Garden by the bay นั่นคือ “น้ำตก”
             

            แค่เดินผ่านประตูเข้าโดม เสียงน้ำตกซู่ซ่าก็แวะมาทักทายครับ  และเขยิบมานิดเดียว “น้ำตกสูงเท่าตึก 7 ชั้น” ก็ยินจังก้าอวดอิทธิฤทธิ์อยู่ตรงหน้าแล้ว น้ำตกถูกออกแบบให้ตกลงมาจากหน้าผาจำลอง ไหลทะลุลงไปชั้นล่างของโดม น้ำจากด้านบนถูก ออกแบบให้ตกลงมาหลายสายแซมคั่น อีกหลายๆ ชั้น แถมมีการเล่นไลท์ติ้งอีก  และด้วยความที่น้ำตกสูงมาก...ทำให้มี น้ำกระเซ็นละออง กระเด็นปลิวทั่วลานหน้าน้ำตก ซึ่งแน่นอนครับ  “น้ำไม่สะอาดชัวร์”   ละลอองเต็มหน้า เปียกหัวหูไป หมด กลัวสิวก็กลัว แต่กลัวไม่ได้ถ่ายรูปคู่มากกว่า  ว่าเดินก็จ้ำๆ สู่น้ำตก

            โดมแห่งนี้รวบรวมพรรณไม้ในแหล่งร้อนชื้นครับ  อุณหภูมิจึงควบคุมให้ชื้นๆสังเกตจากพื้น ทางเดินในโดมนี้ ไม่มีมุมไหนที่แห้งเลย เวลาเดินต้องจิกๆ หน่อยเพราะพื้นลื่น  โดมนี้มี 2 ชั้น ชั้นล่างสุด เป็นชั้นใต้ดิน ตกแต่งให้มืดๆ เปียกๆ ชั้นบนเป็นปกติและที่เด่นคือตรงกลางโดม มีโครงสร้างเหมือน ภูเขาจำลอง แบ่งออกเป็นเจ็ดชั้นและโครงสร้างนี้เองคือน้ำตกที่เราเห็นตอนเข้ามา  เนื่องจากตอนนี้มืด แล้ว จึงอ่านป้ายตามต้นไม้ต่างๆ ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ แต่เราจึงได้เห็นไฟที่ตกแต่งไว้สวยงามภาพรวมต้นไม้
ของที่นี้เหมือนอยู่ในป่าดิบชื้นเลยครับ เขียวครึ้มด้วยไม้ยืนต้น ไม้เลื้อย เฟิร์น ตะไคร่ มอส ถูกถมโปะไว้ทุกมุม บางมุมจัดประกอบกับตุ๊กตาไม้แกะสลัก (ที่เหมือนมาจากชนเผ่าวูดูเทือกๆ นั้น) ส่วนภูเขาจำลองหลังจากลองขึ้นไปดูก็พบว่าแต่ละชั้นแคบเล็กกว่าที่
คิดครับ และไม่ค่อยมีอะไรตื่นตาเท่าไหร่  ชั้น 7 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของภูเขา มีบ่อน้ำเล็กๆ ซึ่งตกแต้งต้นไม้น้ำไว้ด้วย ถามว่าจำอะไรได้ในโมนี้ ก็มีทีชอบๆ และเด่นๆ คือ 1). เมืองจำลองที่ปลูกต้นไม้จริงไว้ด้วย แล้วก็มีรถไฟรางวิ่งไปรอบๆ เมือง กับ 2). ย่าจะชั้นที่ 5 ของภูเขาทำลองครับ จะมีทางเดินลอยฟ้า รอบยอด เขา ให้มองวิวทั้งขึ้นบนและลงล่างด้วยและตรงหน้าน้ำตกทำเป็นระเบียงเล็กๆ ยื่นออกมา สำหรับดูน้ำตกระยะใกล้ได้อีกด้วย
           
จากการเดินสำรวจพื้นที่สวนและ โดมทั้ง 2 แห่ง เมื่อเทียบกับงานพืชสวนโลกหรืองานแสดง ไม้ดอกตามห้างสรรพสินค้าที่จัดบ่อยๆ ในเมืองไทย ผมขอสรุปแบบฟันธงที่ว่า!!! ฝีมือจัดสวนเมืองไทย สวยกว่า มีไอเดีย และดีไซน์ที่น่าสนใจกว่าที่นี่ครับ  ดังนั้นหากหวังจะมาดูสวนสวยบอกเลยว่าอาจ จะผิดหวัง แต่ความพิเศษของสวนนี้ที่ใครจะเอาชนะได้ยากความเป็นเรื่องความรู้ครับ สวนเล็กๆ แต่ รวบรวมไม้ที่หลากหลายไว้จำนวนมากจนดูแทบไม่หมด  เหมาะสำหรับศึกษาและวิจัยมากกว่า และ สำหรับใครที่รักการปลูกต้นไม้ หรือมาสายต้นไม้แบบฮาร์คอร์ ที่นี่คือสวรรค์ของคุณ

            ตามแผนเราต้องออกจาก Gerden by The Bay ตอน 1 ทุ่ม เพื่อไปทำมิชชั่นของตัวเองต่อไป นุ๊กอยากไปขึ้น Singapore Fryer ซึ่งผมเคยขึ้นแล้ว เลยขอแยกไปชั่วคราวเพราะผมอยากไปเจอ Fountain of Wealth” หรือ “น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง” ที่ตึกซันเทคที่จะมีการโชว์น้ำพุเต้นรำตอน 2 ทุ่ม มากกว่า  ซึ่งพี่โทและพี่เอส จะตามไปกับผมด้วย... แต่เพราะว่าเรามาที่นี่ช้ากง่าแผนที่วางไว้ และใช้ เวลาเดินค่อนข้างมากตอนที่เราออกจากโดมก็เกือบ 2 ทุ่มแล้ว ฟ้ามืดเชียว แม้ที่นี่จะมีการจัดไลท์ติ้งไว้ สวยมากๆ  แต่ทางเดินก็ยังงงๆ และหายากอยู่ดี...ว่าไหนหว่าทางออก

            เราเสียเวลาเดินถ่ายรูปสวนประดับไฟเปะปะตามทางค่อนข้างมาก และยิ่งเสียเวลามาก ไปอีกเมื่อมาเจอเหล่าดวงป่า  “Super Tree” ที่กำลังเรืองแสง เต้นรำบำ เล่นไฟวับวาม ประกอบเสียง ตอนนั้นเหมือนหลุดออกมาอีกโลกนึงเลยครับใครก็ไม่รู้
ในหมู่เรา 4 คน อุทานขึ้นมาว่า
            “แม่ง  เหมือนหนัง AVATAR เลยว่ะ”


            Super Tree  นี่คือไฮไลท์อีกแห่งหนึ่งของพวกเราครับ ถูกออกแบบด้วยคอนเส็ปท์ “สวนแนวตั้ง” คล้ายๆ ที่ผู้ว่าฯ พยายามทำให้ป้ายรถเมล์มีส่วนด้วยกะบะไม้ พลูด่าง และหมั่นเอารถกทม. ไปฉีดน้ำทุกวัน (จนสุดท้ายไม้ผุ ต้นไม้โดยขโมยพังล้มครืนจนต้องรื้อถอนที่ป้าย) นั่นแหละครับ แต่ที่นี่เขาออกแบบให้ยั่งยืนมากกว่าด้วยระบบสวนที่ออกแบบมาอย่างดี

ตัวโครงสร้างต้นไม้ก่อเป็นโครงซีเมนต์(เหมือนมีประตูให้เจ้าหน้าที่เปิดเข้าไปในต้นไม้ได้ด้วย) และมีโครงแหล็กประกอบภายนอกลามขึ้นไปด้านบนที่ดีไซน์แผ่นเป็นกิ่งก้านของต้นไม้  ตลอดทั้งต้นแซม ด้วยไม่ชื้นต้นเล็กๆ พวกเฟิร์น หรือไม้มีเถา สลับไป
มาจนเขียวชุ่มไปหมด และพอลองสังเกตุ ใกล้ ก็เห็นว่าเขาวางระบบท่อน้ำสำหรับฉีด รดน้ำต้นไม้ไว้ด้วย ไม่ต้องรอให้คนมารด และที่เกร๋ อย่างที่เห็นด้วยตาอยู่ตอนนี้คือตอนกลางคืนต้นไม้จะมีชีวิตด้วยแสงสี ดวงไฟตระการตา ซึ่งมาจากพลังงานแสงอาทิตย์
ที่สะสมไว้ในตอนกลางวัน...แอบคิดว่าเหมือนสารคดี After The Earth ไปว่า หากวันนึงโลกล่มสลาย มนุษย์ศูนย์พันธ์ไป  Super Three นี่แหละครับที่ยังคงมีชีวิตอยู่ ตอนไม้ที่ปลูกไว้ โตขึ้นและสร้างระบบเลี้ยงตัวเองได้เหมือนกาฝาก  กลางคืนก็สว่างไสวด้วยไฟที่ติด ขึ้นเองได้.... คงจะมีชีวิตไปจนกว่า โครงสร้างต้นไม้ที่เป็นซีเมนต์หรือเหล็กจะผุพัง หรือหลอดไฟดับ ไปเองเพราะหมดดอายุการใช้งาน

            ทั้งสวนนี้มี Super Tree  อยู่ 18 ต้นครับ  มีความสูงตั้งแต่ต้นละ 25 - 50 เมตร กระจาย เป็นหย่อมๆ ทั่วสวน (บางหย่อม ก็แค่ 3 ต้น) แต่ตรงที่เรากำลังตะลึงอยู่นี้คือ Supertree Grove ดงใหญ่สุดมีทั้งหมด 12 ต้นครับ  ต้นที่ใหญ่สุดอยู่ตรงกลาง และมี
เรื่องหลอกเอา เงินที่ผม สนใจนั่นคือ มีทางเดินลอยฟ้าเชื่อมระหว่าง Supertree หลายต้น ให้เราเดินดูวิวิวด้วยสนนราคา เด็ก S$ 3 ผู้ใหญ่ S$ 5 ซึ่งตอนแรกก็ดื้อจะเสียตังค์ให้ได้ แต่พอคิดๆ ดูว่าขึ้นไปก็ต้องรีบลงมาท่าจะไม่คุ้ม ก็เลยขอบายไป
           


            ก่อนที่นุ๊กจะรีบวิ่งจากเราไปอย่างรีบร้อน ก็นัดกันไว้ว่าให้ไปเจอกันที่หน้า Marina Bay Sand  เพื่อดู “Wonder Show” รอบ 3 ทุ่มครึ่ง ใครไปถึงก่อนให้ส่งสัญญาณมาและจองทีไว้สำหรับ 4 คนด้วย นุ๊กผนกหัวรับคำแบบลกๆ และก็วิ่งหายไปในความมืด  ส่วนผม พี่โท และพี่เอส เราเดินกัน เรื่อยๆ กลับมาทางเดิมเพื่อขึ้น MRT จากสถานี Bay Front ไปดึก Suntec  ที่สถานี Promenade

            ก่อนจะลงสถานี  ผมหันกลับไปมองสวนอีกสักครั้ง SuperTree ยังคงกระพริบแสงวิบวับ มองเห็นได้แต่ไกลในความมืด... แม้ธรรมชาติไม่ได้ให้อะไรมาครบทั้งหมดแต่มนุษย์ก็สามารถ “ทำ” “ธรรมชาติ” ขึ้นมาเป็นของตัวเองได้ แม้ดูก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้น แต่สิ่งที่ทำเพื่อแอบอิงกับธรรมชาติ ไม่ได้แปลกแยกเป็นคู่ขนานของกันและกัน และเมื่อใดที่มนุษย์เติมให้ธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะเติม ให้กลับให้มุนษย์ เช่นกัน

            ....คือ... จะมาทำเป็นมีปรัชญาทำไม!!!!


ติดตามตอนต่อไป Chapter 06 Day 01 >>>>>> เร็วๆ นี้





อ่านตอนเก่า
            


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เรื่องย่อ “Frozen” (Disney's) โฟรเซ่น - ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ” : จากมุมมองของผม หลังชม (review)

สไปร์ท ฮอร์โมน : ซ่าๆ ใสๆ (กินสไปร์ท ต้องใส่ถุง) : (Hormones วัยว้าวุ่น เดอะซีรีย์)

เต้ย ฮอร์โมน : ตำนานแห่งดอกกุหลาบที่ถูกสาป (Hormones วัยว้าวุ่น เดอะซีรีย์)