รีวิว FROZEN : ก้าวใหม่ของการ์ตูนดิสนีย์ : โฟรเซ่น - ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ” (review) #MorragetMovie

Disney's กับการเดินทางที่ชัก​ "หลงๆ"

ผมเป็นคนหนึ่งที่ติดตามงานการ์ตูนของ Disney's มาโดยตลอด
และเห็นความเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ ยุคลายเส้น 2D
เช่น เจ้าหญิงนิทรา, สโนไวท์,   Beauty and  The Beast, The Little Mermaid

จนยุคหลังๆ ก็เพิ่มเจ้าหญิง ที่นอกเหนือจาก โซนยุโรปมากขึ้น แต่ยังคงเป็น2D
เช่น โพคาฮอนทัส, มู่หลาน, ทาซาน, Lion King

ยุคต่อมาเป็นยุคแห่ง 3D Animation ท่ีไปจับมือร่วมกับ Pixar Studio
เช่น Toy Story, Finding Nemo,

ในยุคนี้เอง ที่ผมว่าเป็นยุคที่ Disney's มีความ "แกว่ง" อยู่ เพราะผลงานออกมาทั้ง 3D และ 2D
เช่น lilo & stitch(ที่ไปฮาวาย และเป็นเรื่องมนุษย์นอกโลก,
Princess & the frog (ที่เล่าเรื่องการสู้ชีวิตของหญิงสาวผิวสีไปเลย)

เรียกว่า "งง" อยู่เหมือนกัน
เพราะยุคท่านผ่านมา 3D ที่ออกมาก ก็เป็นอีกสไตล์หนึ่งไปเลย
ส่วน 2D ก็พยายามจะฉีกไปไหนไม่รู้
เลยเป็นว่า "เสน่ห์" และ "ลายเซ็นต์" แบบ Disney's หายไป

แล้ว"เสน่ห์" และ "ลายเซ็นต์" แบบ Disney's คืออะไร
ผมว่าสิ่งที่ทำให้การ์ตูนของ Disney's ที่ทำให้การ์ตูนยุคเก่าๆ ยังคลาสิคในใจคน มากกว่าเรื่องใหม่ๆ ที่คนดูแทบจะไม่ได้ นั่นคือ
" ความเป็นแทบนิยาย" "ความช่างฝัน" "ความหลุดออกจากความจริง" "การมีจินตนาการสุดขั้ว"
"เพลงที่ไพเราะแบบมิวสิคัล" "ฉากจำ" และที่สำคัญ "การสื่อสารความคิดความเชื่อเรื่อง ความรัก"

ซึ่งหลังจากหลงๆ มานาน
ดูเหมือน Disney's จะนั่งทบทวนตัวเองเจอ.... และพร้อมจะกันกลับมาในสิ่งที่ตนถนัด และทำได้ดีอีกครั้ง
นั่นคือ "ความเป็นการ์ตูน เจ้าหญิง เจ้าชาย" "ความรัก" และ "จินตนาการสุดขอบ"
แต่มาในรูปแบบที่ทันสมัยขึ้น นั่นคือ "3D Animation" ซึ่งไม่ใช่ลายมือของ "Pixar" แต่เป็น
"Walt Disney Animation Studios"


"มนต์เสน่ห์ ที่ถูกแช่แข็ง ของDisney's กลับมาแล้ว"
Frozen บอกเลยว่าคือ "มิติใหม่" และ "ก้าวสำคัญ" ของ Disney's  ครับ
ตอนแรกผมก็ยังไม่ตัดสินใจจะไปดูในโรงนะครับ กะว่าจะซื้อแผ่นเอา.... แต่จะกระแสใน Social
ชื่นชมกันอื้ออึงมากว่า "ดีงาม" ทั้งเวอร์ชั่น "เสียงไทย" และ "อังกฤษ"

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เสียงไทย" ทีี่ดึงเอานักร้อง "เสียงเทพ" 4 คนมาพากษ์ และร้องด้วยแล้ว
"แก้ม The Star" / "หนูนา หนึ่งธิดา"/ "คิว วงฟลัว" / และ "อาร์ม เคพีเอ็น"
เมื่อรวมกันกับ บรรยากาศปีนี้ที่หนาวๆ วันหยุดยาวๆ ( และรอบฉายที่เริ่มน้อยลง)
ผมเลยตัดสินใจ เข้าโรงไปดู "เสียงไทย" แบบ "3 มิติ" ด้วย... ^^


 "Disney's  ยังลึกซึ้งเสมอ"
พอโลโก้รูป "ปราสาทดีสนีย์" ที่ตั้งคล่อมอยู่กลางนั้น ฉายขึ้นบนจอ เป็นสัญญาณของหนังที่เริ่มฉาย
แต่ก็เป็นสไตล์ของ  Disney's   (ตั้งแต่สมัย Pixar) ที่มักเริ่มต้นด้วย "หนังสั้นแอนนิเมชั่น" มาเปิดโรงก่อน
ถือเป็นการโชว์ของ (เหมือนงานมอเตอร์โชว์ที่เอารถรุ่นโมเดลมาโชว์นั่นแหละ) แต่ครั้งนี้แปลกไปกว่าทุกครั้ง ที่หนังสั้น จะเล่าเรื่องอะไรไม่รู้ แต่ดูสนุก

แต่ครั้งนี้เป็นการทำ  "หนังสั้นแอนนิเมชั่น ที่เล่าถึงก้าวใหม่ของ Disney's เอง"

หนังสั้นเรื่องนี้ เปิดเรื่องด้วยซีน "คลาสิค" ของ Disney's เอง
นั่นคือการเอาการ์ตูนเรื่องเก่าของ "มิคกี้ เม้าส์" ยุค ลายเส้นขาวดำ แบนๆ ยุคแรกๆ มาฉาย
บนจอจะเห็นจอภาพเล็กๆ สีขาว ดำ ที่มีขนาดไม่ถึงครึ่งจอ เป็นทรงจตุรัส
เมื่อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ.... จากการ์ตูนเรื่องเก่า มุขเชยๆ...​ก็เริ่มเล่าเรื่องแบบสมัยใหม่ มุขแบบใหม่
และที่สำคัญกว่านั้น มิคกี้ และตัวละครต่างๆ "หลุด" ออกมาจากจอขาวดำนั่น และกลายเป็น "3D Animation" ที่มีสีสัน และมีมิติราวกับของจริง พร้อมกับจอที่ฉายกว้างขึ้นแบบ Widescreen


เรื่องราวจบลง...แม้ว่าตัวละครบางตัว ยังหลุดเข้าไปใน "เฟรม" การ์ตูนแบบเก่า แต่ก็เลือกแบบคลาสสิคของ  Disney's คือมีวงกลมๆ ดำ แคบเข้ามากลางจอภาพ....และมีคำว่า "The End" ( แต่ภาพจบเป็นก้นตัวการ์ตูนแบบ 3D )

ถ้้าไม่คิดอะไรมาก การ์ตูนเรื่องนี้ก็ดูสนุกดี....
แต่นัยยะของเรื่องนี้ มันคงเป็นการประกาศของ Disney's  แบบเบาๆ ว่า
ก้าวต่อไปของ Disney's   คือการรักษาความ Classic ที่เป็น Signature ของตนไว้
และนำเสนอบนรูปแบบที่ทันสมัย....
ซึ่งทำให้งาน Disney's   อมตะ ไร้ซึ่งกาลเวลา และดูเมื่อไหร่ก็ทันสมัยอยู่เสมอ

และ Frozen คือสิ่งที่ Disney's   จะทำให้เป็นแบบนั้น

 "เข้าสู่จุดเยือกแข็งของ Frozen เสียที "
ในเมื่อ Disney's   จะรักษาความคลาสิคไว้...มันก็ต้องเริ่มที่จุดเริ่มต้นที่ คลาสิค เช่นกัน
แทนที่จะแต่งเรื่องเองขึ้นมาใหม่
Disney's  จึงหันกลับมาหา "นิทาน เทพนิยาย" อีกครั้ง โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเทพนิยายเดนมาร์กเรื่อง "ราชินีหิมะ (The Snow Queen)" ของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (เจ้าของเดียวกันกับ The Little Mermaid, ลูกเป็ดขี้เหร่, เด็กหญิงกับไม้ขีดไฟ (The Little Match Girl)
ซึ่งจะสังเกตุได้เลยว่า ทุกเรื่องที่ยกมา ตัวเอกมักมีปมอะไรสักอย่าง เป็นแรงขับให้กระทำสิ่งหนึ่งที่ยิ่งใหญ่หรือร้ายแรง...

"เรื่องย่อๆ แบบหนาวๆ " (สปอยนะ)
ตามไปอ่านได้อีกบทความนึงนะครับ
คลิกที่นี่เบยยยย !!!
http://morraget.blogspot.com/2013/12/frozen-disneys.html

"หัวใจ : น้ำแข็ง"
Frozen เป็นการ์ตูนที่พูดเรื่อง "ความรัก" ครับ
ไม่แปลกใหม่เลย สำหรับการ์ตูน Disney's ใช่ไหมล่ะ?
แต่ผมว่านี่คือก้าวใหม่ ใน"มิติความรัก" ที่ปรากฏในการ์ตูนของ Disney's นะครับ
เพราะเรื่องที่ผ่านมาๆ การนำเสนอความรัก  จะเป็นความรักที่ "ระบุย่อย" ลงไปอีก ค่อนข้างปัจเจก
เช่น "รักหนุ่่มสาว" "รักแท้" (ในยุคแรกๆ อย่าง  Beauty and  The Beast)
      "รักพ่อ" "รักเพื่อน" "รักชาติ" "รักธรรมชาติ""รักครอบครัว"
     ( ในยุคใหม่เช่น โพคาฮอนทัส, มู่หลาน, Toys Story, Princess & the frog )
ซึ่งจะเห็นว่า รักแท้ในแบบยุคแรกนั้น ตราตรึง ประทับใจ คลาสิคกว่า ทำให้คนจำได้
อย่างนั้นก็ตาม... Frozen ไม่ได้เล่าความรัก ในแบบ "ไหนเลย" ที่เคยเล่ามา
เป็นการเล่าภาพใหญ่มากกว่า ระดับ ปัจเจก คือ เรื่องนี้พูดถึง
" Power Of Love : พลังแห่งรัก" 
พลังที่ซึ่งทำลายทุกอย่างได้  สร้างสรรค์ทุกอย่างได้ และเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้


"Power of Love นี่แหละครับ ที่ก้าวพ้น ความรักหนุ่มสาว จากที่เคยนำเสนอมา"
จะเห็นว่าทุกคน (ทั้งคนดูและตัวละคร) คาดหวังว่า "การกระทำแห่งรักแท้" จะมาจากการ "จูมพิศ" เท่าน้ัน
ซึ่งนั่นคือมิติเดิมๆ มิติใหม่ มันมหาศาลกว่านั้น และแสดงออกให้เห็น โดยหลายๆตัวละคร เช่น
- อันนา ยอมเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องพี่สาว ( ไม่เห็นรักของตัวเองเหนือกว่าด้วย)
- แอลซ่า ยอมสละทุกอย่างไปอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพื่อไม่ให้น้องได้รับอันตรายจากตน
- โอลาฟ ที่ยอมอยู่ใกล้ไฟ ไม่กลัวละลาย เพื่อให้ อันนาอบอุ่น และให้เมือง เอเลนเดลล์ กลับมาปกติสุข
- คริสตอฟฟ์ อันนี้แน่นอน พระเอก ทำทุกอย่างเพื่อช่วย อันนา

นอกจากประเด็นหลักที่ต้องการสื่อสารแล้ว ก็ยังมีประเด็นย่อยเล็กๆ น้อยๆ
ตามสไตล์การ์ตูนสอนใจของ  Disney's  ไม่ว่าจะเป็น การเสียสละ/ ความโลภ/ ดีชั่ว/ คุณธรรม ก็ว่ากันไป

"มิวสิคัล เต็มรูปแบบ กลับมาอย่างหนำใจ"
เสน่ห์ของDisney's ในยุคคลาสิค คงหนีไม่พ้น ความเป็น Musical
(และสังเกตสิ เพลง Solo ในการ์ตูน Disney's ก็ยังจนถึงทุกวันนี้)
แม้ในการ์ตูนทุกเรื่องของ Disney's จะยังคงนำเสนอ "เพลง" อยู่ทุกเรื่อง
ทั้งในรูปแบบ เพลงSolo ของตัวละคร ( เพื่อใช้แสดงความรู้สึก ความคิดความเชื่อ)
หรือเพลง ที่ใช้ดำเนินเรื่องราวให้เคลื่อนไปข้างหลัง

แต่หลังจาก "มู่หลาน" ดูเหมือนเสน่ห์ด้านเพลง ก็จะหายไปเลย
แม้มีในทุกเรื่อง แต่ก็ไม่ประทับใจ ไม่น่าจดจำ เป็นแค่ไม้ประดับเท่านั้น

แต่ Frozen ได้ "รื้อ" เสน่ห์นี้กลับคืนมา
และเรื่องนี้จะใช้เพลง Solo ค่อนข้างมาก เพื่ออธิบาย "ความรู้สึกลึกๆ" ของตัวละครออกมา ให้เข้าใจง่าย และเข้าถึงอารมณ์คนดู เช่น
- เพลง  Let it Go ของตัวละคร แอลซ่า ที่ช่วงแรกเป็นการระบายความรู้สึกที่อัดอั้น / และกลายเป็นการตกผลึกทางความคิด / จนนำสู่ข้อสรุป และจุดยืนใหม่ของเธอในการดำเนินชีวิต

- เพลง  "In Summer" ของตัวละคร โอลาฟ ที่มีความฝันในชีวิต ที่จะสัมผัส "หน้าร้อน" ดูสักครั้ง

เหล่านี้คือมิติความลึกเพลง ที่ถูกนำมาใช้ในการ์ตูนเรื่องนี้
แม้ว่าจะเป็นใช้ "วงใหญ่" สไตล์บอร์ดเวย์มิวสิคัล แต่ Mood&Tone ของเพลง ก็ออกมา Modern
เจือความเป็น POP เข้าไปด้วย คือมีความ "เมโลดิก" (ทำนองที่ติดหู) และทำนองที่จำง่าย
เนื้อเพลงไม่ซับซ้อนเกินไป 

การ์ตูนเรื่องนี้เหมาะที่จะนำเสนอในรูปแบบมิวสิคัลแบบนี้จริงๆ ครับ
เพราะประกอบไปด้วยเรื่องราวของความรัก ตัวละครที่มีอารมณ์หลากหลาย
เหตุการณ์ที่แปรผันได้ตลอด และที่สำคัญ มีการแสดงเวทมนต์มากมาย ซึ่งจินตนาการทั้งหมด
ถูกตอบได้ดีที่สุดในรูปแบบแอนนิเมชั่นนี่แหละครับ​(ถ้าเป็นเวทีละคร โปรดักซันต้องเวอร์มากๆ และก็ไม่รู้จะทำได้ สุดขีด แบบนี้ไหม)

"การวางตัวละคร ก็แปลกและแตกต่างไปจากเดิม"
จากขนบของ Disney's เอง ที่มักนำเสนอ "ดารานำแบบออกเดี่ยว" เช่น
เจ้าหญิง 1 เจ้าชาย1  ตัวร้าย1 (ผู้ช่วย1)
แต่เรื่องนี้มีการปรับตัวละคร และคาแรคเตอร์ให้เข้ากับยุคที่เปลี่ยนไปมากขึ้น
เริ่มตั้งแต่ นางเอก ซึ่งมี 2 คน "แอลซ่า" และ "อันนา" และต่างก็เป็นเจ้าหญิงทั้งคู่
จะถามว่าใครเด่นกว่าใครก็ฟันธงไม่ได้ถนัด  เพราะต่างก็มีมุมเด่นของตน...
( เหมือนกำลังบอกเด็กๆ ช่างฝัน ว่า..... ทุกคนเป็นเจ้าหญิงได้ ในแบบตัวเอง)

ส่วนพระเอกนั้น ก็ไม่ใช่เจ้าชายที่ไหน... แต่เป็นคนธรรมดา ที่มีความสามารถ
ที่ใช้สิ่งที่ตนเองมีนั้นทำในสิ่งที่เชื่อ และพบกับความสำเร็จ
เข้ากับยุค "Reality" ปัจจุบัน ใครที่มี "Talent" คนนั้นก็เกิด...ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น  ^^

อ๋ออีกอย่าง  ยุคสมัยเปลี่ยน... เจ้าหญิงในอุดมคติก็เปลี่ยน
จากเข้าหญิง เนิบนาบ...สวยสง่า
"อันนา" ถูกนำเสนอในรูปแบบของเจ้าหญิง ที่ดูเหมือนคนธรรมดา หลุกหลิก มั่นในใจตัวเอง กล้าสู้คน
มีหลายมิติ ทั้งอ่อนหวาน เข้มแข็ง ทำให้ดูเป็น "คน" มากขึ้น
"แอลซ่า" เองที่ถูกวางไว้เป็นถึงราชินี ก็กลับถูกนำเสนอให้เป็นคนที่มี "อารมณ์" ทั้งฉุนเฉียว ทั้งสับสน และมี Dark side กับเขาเหมือนกัน.... ( แถมยังแอบนึกไปว่า แอลซ่าคือตัวแทนของผู้หญิงมั่น สมัยใหม่ ที่มีจริต มากกว่าปกติ.... Self ...และกล้า... นำเสนอผ่านท่าทางเวอร์ๆ ของหล่อน, การแต่งตัวที่อีกนิดเดียวก็มาดอนน่าแล้ว, และที่สำคัญนางไม่ต้องแต่งงานตอนท้ายเรื่องด้วย.....)
"เจ้าชายฮอน" จากที่เคยนำเสนอ "เจ้าชาย" ในมิติของ "เจ้าช้ายยย เจ้าชาย" มาเยอะแล้ว ก็จับเจ้าชายเป็นผู้ร้ายซะเลย....



"Art Direction หนาวขี้ สวยขาดใจ"
เพราะเป็นสิ่งที่ต้องสร้างจาก  Computer ทั้งหมด ด้าน Art Direction จึงถือว่า "ทำอะไรออกมาก็ได้ ทำเท่าไหร่ก็ได้... " เพราะทุกอย่างสร้างได้อย่างใจ  แต่ก็ต้องคุมทุกอย่างให้ออกมาไห้ได้อย่างที่ต้องการ
สามารถรับใช้เนื้อเรื่องได้

กับ Project : Frozen ที่เนื้อเรื่องเป็น เทพนิยาย ปราสาท วัง ย้อนยุค มีป่า มีหิมะ... คิดแค่นี้ก็เอื้อต่อการปล่อยจินตนาการของผู้สร้างแล้ว.... และต้องชมว่า ทำได้ถึงจริงๆ และมีความสวยงามระดับวิจิตร
ยกตัวอย่างฉากเด่นๆ ได้แก่
- ฉากที่ แอลซ่า เสกปราสาทน้ำแข็งของตัวเองขึ้นมา...​ซึ่งลงรายละเอียดความวิจิตรทุกกระเบียดนิ้ว
- การดีไซน์น้ำแข็ง ของแอลซ่า ที่ปล่อยเวลาโกรธ จะเป็นหนามแหลมๆ ซึ่งสามารถสื่อสารอารมณ์ และเล่าเรื่องได้ด้วยในคราวเดียว
- ซึ่งในฉากหิมะเหมือนๆ กัน ก็ยังเห็นความต่าง ระหว่างน้ำแข็ง ที่ตั้งใจแสกให้สวยงาม และน้ำแข็งที่เสกด้วยความโกรธเกรี้ยว
ถือว่าเป็นการให้รายละเอียดที่ลึกและมีความหมายในเชิงสัญญะ ทำให้การ์ตูนมีชั้นเชิงในเชิงศาสตร์ของภาพยนตร์อีกด้วย
 ตัวอย่างการปล่อยน้ำแข็งของแอลซ่า


"ทีมพากษ์ไทย อีกหนึ่งที่ต้องชื่นชม"
ท้ายที่สุด อย่างที่บอก ผมเลือกดูพากษ์ไทยครับ!!!  บอกเลยไม่อาย
เพราะเห็นทีมเสียงไทยแล้ว ต้องบอกว่า อยากดูไม่แพ้ เสียง Original เลย

เริ่มที่นางเอกทั้งสอง  "แอลซ่า" และ "อันนา" ก็ได้สาวรุ่นใหม่ เสียงทรงพลัง ขามิวสิคัลรัชดาลัย
มาช่วยเติมเต็ม... นั่นคือ "แก้ม The Star" และ "หนูนา หนึ่งฤทัย"
ด้วยความที่ผมผ่านการชมมิวสิคัลที่พวกเธอเล่นมาทุกเรื่อง และติดตามผลงานมาโดยตลอด ก็รู้ว่าไม่ผิดหวัง และเป็นแบบนั้นจริงๆ คือ เสียงร้องนั้นทรงพลัง  เต็มเปลี่ยนไปด้วยความรู้สึก
และผมว่า ที่ไม่รู้ตั้งใจหรือบังเอิญคือ... ทั้งสองคน มีบุคลิก และส่วนคล้ายบางมุมกับตัวละครที่ตนพากษ์เหมือนกัน....

ที่สำคัญ ทั้งคู่เคยเล่น มิวสิคัล เป็นพี่น้องมาแล้วครั้งหนึ่ง ในเรื่อง "รัก จับ ใจ"




และมีนักร้องอีก 2 คนที่ช่วยพากษ์เหมือนกัน 2 คนนี้ก็มีเสียงที่ดี และเคยผ่านงานมิวสิคัลมาแล้ว
นั่นคือ "คิว วงฟลัว" ที่มาพากษ์เป็นเข้าชาย "ฮอน" และ "อาร์ม เคพีเอ็น"  ที่มาชุบชีวิตให้มนุษย์หิมะ "โอลาฟ 

เนื้อเพลงไทยก็แปลออกมาได้ดีนะครับ ไพเราะ และได้อารมณ์ สื่อความหมายได้ดี
แต่เสียอยู่นิดหน่อยที่เมโลดี้ต้นฉบับไม่ค่อยเอื้อกับภาษาไทยเท่าไหร่... ทำให้เวลาแปลไทย หรือสไตล์การร้องที่ต้องอิงไปทางต้นฉบับ ทำให้ภาษาไทยในเพลงนั้น "เพี้ยนเสียงวรรณยุกต์" ซึ่งทำให้บางเพลงฟังยากมากกกกกกกกกกกกกกก


"บทสรุป สู่จุดเยือกแข็ง"
อย่าอย่างที่บอกครับ ว่าเรื่องนี้ถือเป็น "มิติใหม่" ของการ์ตูนดีสนีย์
- เรื่องราว ก้าวข้ามความรักในมิติเดิมๆ ที่เคยนำเสนอมาหลายสิบปี
- กล้าเปลี่ยนแปลง ในสิ่งที่เคยยึดถือปฏิบัติมา เช่น "ภาพลักษณ์เจ้าหญิง" "โครงเรื่อง" เป็นต้น
- เพลง คือสิ่งที่ีงาม ของแอนนิเมชั่นเรื่องนี้ เพราะ ถ่ายทอดเรื่องราวให้ดำเนินได้ และเข้าถึงความรู้สึก
- Art Di ดีงามมากกกกกกกกกกก  ละเอียดละออ ลึกซึ้ง
- มีความประทับใจ และ Classic ในแบบที่ disney's เคยมี แล้วทำหายไป เรื่องนี้ กลับมาแล้ว
- ทีมพากษ์ไทย ทำได้ดีมาก....
- Frozen ชนะใจคนทั้งโลกด้วยรางวัลด้านภาพยนตร์มากมายยย และทำรายได้ในไทย ชนะ "ดิฮังเกอร์เกมส์" ไปแล้วนะ
- และที่สำคัญ การเล่า Message ที่ยาก ให้ง่าย "ความรัก ละลายหัวใจที่แช่แข็งได้"  

ให้คะแนน 10 เต็ม 10 
สำหรับการกลับมา อย่างยิ่งใหญ่ อีกครั้ง
ในความเป็น "ตัวของตัวเอง"
เหมือน แอลซ่า ที่เขวไป... และกลับมายืนได้อีกครั้ง ในแบบที่ตัวเองเป็น




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เรื่องย่อ “Frozen” (Disney's) โฟรเซ่น - ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ” : จากมุมมองของผม หลังชม (review)

สไปร์ท ฮอร์โมน : ซ่าๆ ใสๆ (กินสไปร์ท ต้องใส่ถุง) : (Hormones วัยว้าวุ่น เดอะซีรีย์)

เต้ย ฮอร์โมน : ตำนานแห่งดอกกุหลาบที่ถูกสาป (Hormones วัยว้าวุ่น เดอะซีรีย์)