นิยายเที่ยวสิงคโปร์ : Chapter4_Day1: อดีต... ที่เป็นปัจจุบัน (ซิงกะโปโล : Singapolo)
และถ้าจะรู้จักใคร
“ต้องรู้สิ่งที่เขาคิด เขาเชื่อ แล้วจะรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป”
ดังนั้นทริปตีสนิทสิงคโปร์นี้ขอเริ่มต้นด้วยสถานที่ในประวัติศาสตร์ยุคแรกๆ ก่อน นั่นคือ Fort Canning Park” (ฟอร์ตแคนนิ่งพาร์ค)“
ดังนั้นทริปตีสนิทสิงคโปร์นี้ขอเริ่มต้นด้วยสถานที่ในประวัติศาสตร์ยุคแรกๆ ก่อน นั่นคือ Fort Canning Park” (ฟอร์ตแคนนิ่งพาร์ค)“
ตามแผนที่บอกไว้ชัดเลยว่ามันตั้งอยู่หลัง
National Museum ถ้าเดินจากโรงแรมก็ใกล้มาก ผมแค่เดินข้ามถนน
2 ครั้ง ปึ๊ป... ปึ๊ป... ก็ถึงแล้ว (ใช้เวลาเดินไวกว่าการลวกมาม่าอีก) อย่างน้อยทริปนี้ แม้อะไรจะพลาด แต่การตัดสินใจเลือกโรงแรมก็
ไม่พลาด
“Fort Canning Park” (ฟอร์ตแคนนิ่งพาร์ค)” คือเนินเขาที่ตั้งอยู่กลางเมือง ซึ่งมีประวัติยาวนานมาก่อนยุคประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์อีกครับ
ประวัติของที่นี่เล่า เป็นตำนานแตกต่างกันไปมากมายหลายสำนัก จากเท่าที่รวบรวมได้พอเล่าให้ภาพรวม
ได้ว่าเดิมเนินเขาทั้งลูกเป็นเขตวังของเจ้าครองนคร สิงหปุระ (สิงคโปร์ปัจจุบัน) จนต่อมา
เมื่อ เซอร์ ราฟเฟิลเข้ามาปกครองเกาะแห่งนี้ก็สร้างบ้านของตัวเอง ขึ้นในปี
ค.ศ.1823 พร้อมตั้งชื่อว่า
“เนินเขารัฐบาล” ต่อมาเมื่ออังกฤษประกาศปกครองสิงคโปร์
จึง เปลี่ยน ชื่อเป็น “เนินป้อมแคนนิ่ง” เพื่อเป็นเกียรติแก่ อุปราชแคนนิ่ง แห่งอินเดีย
ผู้ปกครอง สิงคโปร์ที่อังกฤษส่งมา และเพราะทำเลนี้เป็นจุดสูงที่มองเห็นทั้งเมือง และมองเห็นข้าศึกทางทะเลได้จึงมีการ สร้างป้อม ค่าทหาร
อาวุธ โรงพยาบาล ประภาคาร ฯลฯ ไว้อีกด้วย ตามข้อมูลแล้วปัจจุบันทั้งเนินเขาเปิดเป็นสวนสาธารณะครับและยังมีพิพิธภัณฑ์โรงละคร
สวนพฤษศาสตร์อยู่บนเขาด้วย...โอ่ววววว
ที่จี๊ดกว่านั้น เมื่อมาถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่
2 อังกฤษได้สร้าง “The Battle Box” หลุมหลบภัยใต้ดินความลึก
9 เมตร ใช้เป็นฐานประชุมลับเพื่อต่อกรกับญี่ปุ่น และหลุมนี้เองเป็นจุดที่ พลโทอาร์เทอร์ เพอร์ซิวาล
(Arthur Percival) ผู้บังคับบัญชาการทหารของอังกฤษในยุคนั้นได้ประกาศยอมแพ้ต่อญี่ปุ่น
ในปี ค.ศ.1942 ปัจจุบันหลุมนี้ไม่ได้ร้างผีหลอก หรือปล่อยให้โทรม น้ำขังนะครับ
เพราะเขาปรับปรุงและทำเป็นพิพิธภัณฑ์ทั้งหมด 13 ห้อง
เพื่อแสดงเรื่องราวช่วงที่สิงคโปร์ถูกยึดครองโดยญี่ปุ่น ค่าเข้าชมก็ไม่แพงมาก เด็ก S$ 5 ผู้ใหญ่ S$8 ( ประมาณ 200 บาท)
ตอนนี้ผมอยู่ใน National Museum แล้วครับ... ผมจะทัวร์ที่นี่วันสุดท้าย...วันนี้ขอแวะเป็นทางผ่านครับ ที่นี่ยังคงเอกลักษณ์ของตัวเองไว้นั่นคือ
ชอบมีคู่แต่งงานมาถ่ายพรีเวดดิ้ง
วันนี้ก็เจอหนึ่ง คู่ครับ เลยขอยุ่งเรื่องชาวบ้านถ่ายรูปอัพลง
ig ซะหน่อย
ก่อนจะตีจากเดินทะลุพิพิธภัณฑ์ตามหาเนินเขาต่อ...
ซึ่งก็ใช่อย่างที่แผนที่บอกเลยมันเนินเขานี้ตั้งอยู่หลังพิพิธภัณฑ์จริงๆ เพระแค่เดินออกจากตัวอาคารก็เห็นเนินดินสูงกั้นอยู่ด้านหน้าแล้ว... พยายามเหลียวซ้ายแลขวาหาทางขึ้น มองเท่าไหร่ก็ไม่เจอบันไดครับ
ซึ่งก็ใช่อย่างที่แผนที่บอกเลยมันเนินเขานี้ตั้งอยู่หลังพิพิธภัณฑ์จริงๆ เพระแค่เดินออกจากตัวอาคารก็เห็นเนินดินสูงกั้นอยู่ด้านหน้าแล้ว... พยายามเหลียวซ้ายแลขวาหาทางขึ้น มองเท่าไหร่ก็ไม่เจอบันไดครับ
งงๆ อยู่เหมือนกันว่า
หรือตรงนี้มันขึ้นไม่ได้หว่า? เลยลองเดินไปซ้ายเรื่อยๆ ก็เห็นอะไรบางอย่างเหมือนราวบันไดเหล็กไล่จากสูงไปต่ำ
โผล่พ้นผิวของเนินดินแค่นิดเดียว พอเดินไปใกล้ๆ
ก็ใช่เลยครับ
แล้วพอจะเดินไปใกล้ก็ถึงขึ้นต้องเหวอ
“บันไดเลื่อนครับ”
ยาวเหยียดเกือบตึก 2 ชั้น ฝังอยู่ในดิน ตั้งอยู่กลางแจ้งเลยครับ... เข้าใจมาตลอดว่าบันไดเลื่อนต้องอยู่ในร่ม
เพราะชินกับห้างในเมืองไทยนี่ตั้งท้าแดดท้าฝนเลย และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ขึ้น
บันได เลื่อนเพื่อขึ้นเขา หรือเพื่อไปสวนสาธารณะ
พอเลื่อนขึ้นมาก็ต้องพบกับความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น...
บันไดเลื่อนนี้ยังไม่ไปถึงจัดสูงสุดของเนินเขา
เพราะเนินนี้ถูกมีลักษณะเป็นขั้นบันไดแบ่งออกเป็นชั้นๆ และผมเพิ่งขึ้นมาแค่ขั้นที่ 2 เอง... จากชั้นนี้มีทางเดินแบ่งออกไปหลายสายและแน่นอนครับ
มันทั้งโค้งและสุดทางแต่ละเส้นเลยมองไม่เห็นปลายอีกด้าน
เพื่อความปลอดภัยผมเลยเลือกเดินตามป้ายบอกทางให้เดินขึ้นไปทางซ้ายตามป้ายที่บอกระบุว่า
“The Battle Box”ทางนี้เส้นนี้ค่อนข้างน่าตื่นเต้น ครับ เพราะต้นรับเราด้วยเสาไม้เก่าๆ
ข้างทางระบุว่า “14th Century Walk”
“นี่เรากำลังเดินทับรอยอดีตสมัย สมัยศตวรรตที่ 14 เลยนะเฟ้ย!!!”
ความขลังของเขาเนินนี้เริ่มมาละ…อิน… และไม่เพียงเท่านั้น ตลอดทางเดินก็ถูกสร้างเป็น “สวนสมุนไพรและเครื่องเทศ” ปลูกไว้เยอะและยาวเหยียด
มีป้ายแรกที่อธิบายแนวคิดของสวนที่จะเล่าเรื่องสมุนไพรและเครื่องเทศที่ใช้ประกอบอาหารเป็นหลักและยกตัวอย่างผ่านอาหารที่เห็นได้ทั่วไปในสิงคโปร์
ได้แก่ อาหารมาเลย์ อินเดีย และจีน...สมุนไพรแต่ละต้นก็มีป้ายบอก ชื่อภาษาอังกฤษ และการใช้ประโยชน์ของต้นนั้นๆ แต่เอาเข้าจริงพอได้เดินดู ใกล้ๆ ไปเรื่อยและแม้น่าตื่นเต้นแต่สำหรับคนไทยแท้
อย่างผมแม่ค่อยตื่นตาเท่าไหร่ครับเพราะพืชที่ปลูกก็เป็นประเภทที่เราๆ
เห็นๆ กินๆ ในอาหาร ทุกวันเป็นสมุนไพรประเภทหลังบ้านก็มี
เช่น ใบเตย ที่ปลูกเป็นดง เป็นป่าเชียว... และสวนที่นี่ก็เน้น ปลูกสุมๆ
รวมกันไม่มีแบ่งแปลง แบ่งส่วนให้เป็นระเบียบ
ถ้าใครไม่รู้คงนึกว่าพืชป่า
ที่ขึ้นเองจนเขียวครึ้มมากกว่า
เดินเลยสวนสมุนไพรไปตามทางเดินก็มีทางแยกเล็กๆ
ไปทางซ้าย มองไกลๆ เห็นว่ามีหลุมที่ขุดไว้กึ่งเสร็จดีไม่เสร็จดี
(เหมือนหลุมศพบ้านเชียง) มีหลังคารอาคารครอบไว้ รอบๆ อาคารนั้นมีป้ายอะไร ไม่รู้ติดไว้เต็มไป
หมดเลย... ด้วยสันชาตญาณ
นักล่า Museum ที่เห็นเหยื่อ...
ขาก็พาออกนอกเส้นทางไปเลยครับ
อาคารหลังนี้เป็นมีชั้นเดียวครับ
มีผนังปิด 3 ด้าน ด้านหน้าเปิดโล่งมีแค่รั้วระเบียงกั้นไว้เท่านั้น
ด้านในเป็นหลุมที่ถูกขุดสำรวจลงไปในดินและไม่ได้ถูกถมฝัง เผยให้เห็นแนวกำแพงอิฐเก่า ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นแนวกำแพงเมืองโบราณ
มองในหลุมดู
ไม่มีอะไรเลยนอกจากรอยรองเท้าบูธของ นักสำรวจที่ประทับไว้บนพื้นเลยขอไม่เสียเวลาขอเดินเข้าในตามระเบียงอาคาร.. สิ่งที่จัดแสดงอยู่
รอบๆ หลุมคือของที่ขุดค้นพบได้ครับจัดเรียงอยู่ในตู้อย่างสวยงาม และไม่ต้องปล่อยให้เดา
ไว้ไอ้เศษ ซากเหล่านี้คืออะไร
เพราะแต่ละชิ้นมีกระดาษเขียนระบุไว้ชัดเจนว่ามันคือเศษของอะไร
และยังมีบอร์ดเล่าประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวัตถุชิ้นนั้นๆ
ด้วย... ต้องยอมรับในการเล่าเรื่องอดีตให้เป็นปัจจุบันครับ
ทำให้คนที่ไม่ค่อยเข้าใจประวัติศาตร์ พอมาอ่าน พอมาดูก็เข้าใจ และรู้ถึงคุณค่าของเศษซากเหล่านี้ได้
อ๋อ
ลืมเล่าครับ สิ่งที่ของจัดแสดงคาดว่าน่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ของคนที่เคยอาศัยอยู่ บริเวณ เนินเขานี้ซึ่งบอกมีของหลายยุคหลายสมัยมากครับ
ไล่จากเก่าไปใหม่ได้เร็วๆ เช่น สร้อยลูก ปัดแก้ว
เครื่องประดับทองคำศิลปะชวาโบราณซึ่งถูกขุด
ค้นพบในบริเวณที่เชื่อ ว่าเป็นวังเก่า ถ้วยชาม
ดินเผาจากจีน ชามสังคโลกจากไทย จนมาถึงเครื่องแก้วจากฝรั่ง
ซึ่งสำหรับใครที่คิดว่าสิงคโปร์ไม่มีประวัติศาสตร์ ก็เปลี่ยนความคิดใหม่ได้เลยครับ
(ซึ่งตลอดทริปจะเจออีกเยอะ...)
ดูนาฬิกาอีกที...
5 โมง 20 แล้ว!!! ตาย... มัวแต่แวะไม่ได้ไปไหนเลย นี่ก็ใกล้เวลาปิดของ “The
Battle Box” แล้วด้วย ตอนนี้ยังไม่เห็นแม้แต่ปากหลุม ไม่รู้ต้องเดินอีกไกลไหม และตอนนี้แดดก็อ่อนแสงลงทำท่าเตรียมมืด
ตัดสินใจตัด “หลุม” ออกจาก
รูทครับ
เพราะคิดว่ากว่าจะเดินไปเจอก็ปิดพอดี และการเดินอยู่บนเขาตอนโพล้เพล้ก็ไม่ค่อยน่าสนุกเท่าไหร่ ตอนนี้รีบไลน์ตามนุ๊กให้มาสบทบ ด่วนจี๋...
แล้วเดินย้อนกลับไปทางเก่าเพื่อหาอีกเป้าหมายหนึ่งที่เห็นในไกด์บุ๊ก
“บ้านของเซอร์ราฟเฟิล”
แม้ที่นี่จะเปิดเป็นสวนสาธารณะด้วย
แต่ก็รู้สึกเป็นส่วนตัว “เนินเขาของฉัน” ดีครับเพราะเห็นแต่นัก ท่องเที่ยว 2-3
คู่มาเดินเล่นเท่านั้นเองความรู้สึกเริ่มเข้าใกล้ตัวบ้าน มากขึ้นเพราะไม่ไกลนัก
ทางเดินนี้มีซุ้มประตูสวยๆ ดีไซน์คล้ายปราสาทดีสนีย์สร้าง
ค่อมอยู่ (มารู้ที่หลังว่าเขาเรียก “Gothic
Gate”) ค่อนข้างแน่ใจว่าหลังซุ้มนี้ต้องเป็น
บริเวณบ้านของเซอร์อย่างแน่นอน
ซึ่งพอผ่านประตูเข้าไปก็ไม่ผิดหวังครับบ้านท่านเซอร์ที่ใหญ่อย่างกับวังตั้งเด่นสง่าอยู่บนเนินเขาตรงหน้าเลยครับ...
หน้าบ้านเป็นลานหญ้า
กว้างลาดลงมาสวยกว่าที่เห็นในหนังสือครับ...
แต่จะดูขลังและได้บรรยากาศมากกว่านี้ ถ้าหน้าบ้านจะไม่มีเด็กนักศึกษากว่า
ร้อย คนมาแหกบปาก ว๊ากน้อง ร้องเพลงเชียร์อยู่ (อารมณ์ประมาณรับน้อง เล่นกีฬาสี
ร้องเพลงไก่ย่างถูกเผา.....เมื่อกี้ยังนึกอยู่ว่าสง๊บบบ สงบ)
“นุ๊ก...
เราอยู่ที่วังท่านเซอร์นะ ตามมาด่วน” (แอบไลน์ไปบอก)
วังท่านเซอร์
(ขอเรียกว่าวังแทนคำว่าบ้านนะครับ)
ดูจากภายนอกเป็นอาคาร สีขาวสูง 3 ชั้น คลุมด้วยหลังคาสีแดงจัด อาคารเป็นทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าที่มีความยาวมากตรงกลางสร้างไว้เหมือนป้อม และมีปีกขยายออกไปทั้งซ้ายขวา
ตรงป้อมด้านหน้าทำเป็นระเบียง 2 ชั้น
ที่ลดระดังลงมาตามเนินเขา เรียกว่า เว่อร์วังโอ่อ่าสมฐานะผู้ปกครอง หน้าบ้านหน้ามองขนาดนี้
เลยรีบปรีเข้าไปในตัวอาคาร... แค่ขึ้นบันไดไปยืนที่ระเบียงรอบวัง
ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าชายแล้ว... จากมุมนี้ มองไปสามารถเห็น วิวได้ในระยะไกลเลยครับ และมองเห็นว่ารอบๆ
ลานกว้างนั้น ส่วนรอบๆ ยังมีมุมสุสานเล็กๆกำแพงทางเดินที่มีหินสลักอักษรเต็มไปหมดยิ่งดูทำให้ดูขลังตอนนี้อยากเข้าไปในวังมาก...
แต่... ไม่มี เจ้าหน้าที่ ประตูหน้าต่างทุกบานถูกปิด... ทำไงดี ไหนๆ มาทั้งที....
มองซ้ายขวา ไม่มีใคร...
“แอบเข้าไปเลยแล้วกัน”
.................!!!
ตึกเกือบร้างครับคุณผู้ชม...
โครงสร้างโออ่าแต่กลับไม่มีอะไรเลย อาคารแห่งนี้ตามประวัติได้เปลี่ยนมาหลายบทบาท ชั้นล่างตรงโถงใหญ่ก็เห็นร่องรอยการเคย
ปรับปรุงเป็นสำนักงานอะไร สักอย่าง แต่ตำแหน่งที่ดูเหมือนเคยเป็นป้ายเก่าถูกถอดออกไป และยังไม่ได้บูรณะให้สวยงาม
สภาพเลยเหมือนคนเพิ่งย้ายบ้านอ่ะครับ ข้าวของพอมีอยู่บ้างก็เละเทะ ห้องต่างๆ ก็ปิดตายและอุดมไปด้วย
ฝุ่น.... อะไรกันนี่ สถานที่สำคัญถูกปล่อยร้างขนาดนี้... จากชั้น1 ผมลองเดินสำรวจภายในวังอย่างเงียบๆ
(เพราะกลัวคนจับได้ว่าแอบเข้ามา
ติดคุกต่างแดนมันไม่ เท่นะครับ)
ตัดสินใจเดินขึ้นไปชั้น 2ก็ไม่ต่างกัน
ตรงกลางเป็นโถงโล่งที่มีแต่ฝุ่น ส่วนปีกซ้าย-ขวา เป็นระเบียงที่ซอยเป็นห้องๆ ทุกห้องปิดตายและถูกกั้นไม่ให้เดินเข้าไป...
เลยตัดสินใจเดินขึ้นบบันไดไปชั้น 3 อันนี้น่ากลัวครับ มีป้ายกั้นจริงจังว่า
“ห้ามเข้า พื้นที่ส่วนตัว” น่าแปลกที่ชั้นนี้ดูสะอาดกว่า มีธง มีตราสีทองประดับผนังดูสวยงามกว่า
และขึงขังกว่าชั้นล่างๆแถมยังตรงบันไดยังสาดด้วยกล้องวงจรปิดทุกมุม ตามธรรมดาพวกตามวังต่างๆ ในไทย ชั้นบนสุดตรงกลางอาคารจะเป็นที่พักของเจ้านาย ที่เก็บวัตถุมงคล
ซึ่งจะปิดไว้และมีความขลัง ในจินตนาการผมก็คิดว่าชั้น 3
ของที่นี่ก็อาจจะเป็นแบบนี้แน่น... ใจก็อยากจะแหกกฏขึ้นไปดูนะครับ แต่ตัดสินใจกลับลงมาด้วย 2
เหตุผล ไล่ความสำคัญจากน้อยไปมากคือ 1). กลัวโดนจับ 2).กลัวผี!!!!
มาตั้งต้นที่โถงตรงชั้น 1 อย่างเดิมครับ
ตั้งใจจะเดินออกจากวังแล้ว ขอเลือกเดินออกทางโถง ด้านหลัง ก็พบว่าอาคารนี้ม่ได้ร้างอย่างที่คิดครับโถงด้านหลังนี้พื้นสะอาดสะอ้าน ไฟดาว์นไลท์
และไฟตามเสาเปิดสว่างสวยงาม ทุกด้านของเสา พอมองดูดีๆ เสาทุกต้น ทุกด้าน และทุกมุมของโถง
ถูกประดับด้วยป้ายของนิทรรศกาลศิลปะ “The Art of
Collecting”
Masterpieces from the Pinacotheque de Paris ( “ดิ อาร์ท คลอเล็คติ้ง” มาสเตอร์พีชเสส ฟร์อม เดอะ
พินาโคทิค เดอะ ปาคีร์) ถึงแม้รู้ว่ามีงานแต่ร้างคนครับ ตัดสินใจตามลูกศรบอก
ผลักประตูเข้าไปในห้องหนึ่ง แล้วก็อึ้งครั้บ...เพราะมองไม่เห็นอะไร มีม่านสีดำขึงอยู่...
รู้สึกใจไม่ดีครับ สถานที่แบบนี้ แล้วยังทำให้ ลึกลับอีก กลัวผีก็กลัว
แต่ขอทำใจกล้าก้าวไปแหวกม่านเบาๆ ช้าๆ
กะว่าถ้าแง้มดูแล้ว
เจอผี จะวิ่งทันที ...เอาละนะ...นิ้วเกี่ยวผ้าแล้วนะ...แหวก......
แว๊กกกกกกกกก!!
อีพนักงานบ้าโผล่ออกมาครับ...ตกใจฉี่แทบเล็ด
ที่เห็นยืนนิ่งๆ นี่ไม่ใช่คุมสติได้นะครับ ใจมันร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้วครับ
มืองี้เย็นเชียว... คาดว่าพนักงานคงยังไม่เห็นอาการสะดุ้งเฮือกเมื่อกี้
จากการสอบถามพนักงานก็ได้คำตอบว่า
“ขึงไว้บังตาจร้า... อยากดูต้องเสียค่าเข้าชมของดี อยู่หลังม่าน”
เลยตอบปฏิเสธไปง่ายดายครับแต่ก่อนจากเคยคุย ต่อกับพนักงานก่อนว่าทำไมวังนี้มัน ร้างจัง
และได้คำตอบที่น่าสนใจ เฮียแกบอกว่าไม่ร้างขนาดนั้น
เพราะเดี๋ยวนี้ที่นี่ถูกใช้เป็นสถานที่ จัดงานแสดงศิลปะหรือนิทรรศกาลบ้าง ข้างๆ
มีโรงละครเล็กๆ ตั้งอยู่ และที่สำคัญบริเวณลานรอบๆ วัง มักมีคอนเสิร์ต โชว์
งานสังสรรค์มาจัดเสมอ
ที่เฮียแกพูดก็น่าจะจริงนะครับ
เพราะพอออกจากโถง เดินตามระเบียงไปนิดก็เจอโรงละคร “Block
Box” ตั้งอยู่
(ประตูปิดไว้ เข้าไปดูภายในไม่ได้ครับ แต่ดูจากสภาพน่าจะเป็นโรงละครเล็กๆ
ประมาณโรงละครคณะตามชื่อที่ตั้ง) แล้วพอเดินขึ้นบันไดไปที่เนินหลังวังเป็นลานเบียร์ที่ ตกแต่งเวลาที่
บรรยากาศรอบๆ คอนเส็ป Cercute :
ละครสัตว์
โดยมีแนวกำแพงและป้อมซุ้มประตูโบราณขึงขัง เป็นฉากหลัง ลองนึกภาพดูก็รู้สึกว่าเป็นปาร์ตี้ที่ชิค คูล เก๋
น่าสนใจเอามากๆ
ในบ้านเรา
สถานที่สำคัญแบบนี้ถ้าไม่แปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องอดีตของมัน ก็คงสงวนไว้มิดชิด
ไม่ให้ใครได้ใช้ประโยชน์ แต่ที่นี่เขาก็มีแนวคิดที่ประหลาดอยู่หน่อย คือไม่ปล่อยให้อดีต เป็นแค่อดีต
แต่ทำให้มีชีวิตและรับใช้ปัจจุบัน เราจึงสวนสาธารณะที่มีวังอยู่กลางสวน สถานที่สำคัญ
ถูกจัดไว้ให้รองรับการแสดงศิลปะ หรือรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ทำให้อดีตไม่ตายตามเวลาไป ยังคง
รับใช้คนปัจจุบัน และเกิดส่วนผสมสุดฮิป
ระหว่างชีวิตปัจจุบันที่มีบรรยากาศเป็นคลาสสิค เท่ออก
หลังจากเดินทัวร์ทั่ววังแล้วก็ลงมาเดินที่เนินหน้าวังบ้าง
เด็กๆ ว๊ากน้องหายไปหมดแล้ว บรรยากาศดีแดดร่ม ลมเย็น
คนไม่เยอะ เวลาประมาณ เกือบ 6 โมง... นุ๊กไลน์บอกว่าอยู่ บริเวณวัง แล้ว...
ผมก็ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ นุ๊กก็เข้ามาทักพอดี
ด้วยเวลาที่เแทบไม่เหลือแล้ว เราเลยพอกันเดิน
ไปๆ มาๆ ถ่ายรูปตรงซุ้มประตู และหน้าวังที่แดดกำลังสวย สักพักนึงก็ตัดสินใจออกจากแดนอดีตกลับสู่ปัจจุบันและส่งรีบสัญญาณถึงเพื่อนร่วมทริป
“เดี๋ยวไปเจอกันที่
Garden By The Bay นะค๊าบบบพี่โท”
อ่านตอนเก่า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น