นิยายเที่ยวสิงคโปร์ : Chapter 19 _Day3: รู้จักเขา...โดยไม่รู้จักเขา (ซิงกะโปโล : Singapolo)




            “คุณคงจะเหนื่อยแล้ว... เดี๋ยวผมจะพาคุณไปพักสักหน่อย”
            คือเอาจริงๆ นะครับคุณพี่ไกด์... ที่เหนื่อยนี่ดูน่าจะเป็นคุณพี่มากกว่านะครับ ก็เล่นกระพือเสื้อผับๆ ด้วยอาการเหยื่อไหลๆ  อ่ะไหนๆ ก็ พักตามใจพี่เขาก็ได้  เขามาผมเดินมาอีกนิดที่ร้านอาหารริมเขาที่ชื่อว่า
Faber Bistroร้านนี้อารมณ์คล้าย Jewel Box คือตั้งอยู่ริมผา แม้ร้านจะไม่สวยเท่า แต่วิวที่นี่ก็เก๋ใช่ย่อย เพราะมองเห็นเมืองออกไปได้ไกลสุดตา
            ผมเลือกนั่งโต๊ะที่เห็นวิวดีที่สุดริมระเบียงหินภายนอกร้าน แน่นอนผมเหมือนวีไอพีมากเพราะแขกของทั้งร้านมีผมคนเดียว พอลองควักตั๋ว “Mount Faber Walking Tour”  ก็พบว่าร้านนี้ถูกบรรจุอยู่ในโปรแกรมว่าให้มานั่งพักสักครู่ พร้อมจิบเครื่องดื่มได้ 1 แก้ว (ที่เลือกได้ว่าจะเป็นแอลกอฮอล์เล็กๆ อย่างเบียร์ หรือน้ำผลไม้)   ไกด์หนุ่มเมื่อเห็นผมนั่งลงตัวได้ที่แล้วเลยเดินมาถามว่าอยากดื่มอะไร...
       ผม         : น้ำส้ม พลีส
       (สั่งแล้วแขนเล็กๆ นะ... เครื่องดื่มดูเด็กมาก แทนที่จะเป็นกาแฟ หรือชาที่ดูแบบแมนๆ ผู้ใหญ่ๆ  หรือเบียร์ไปเลย  แต่ผมมันไม่ดื่มแอลกอฮอล์นี่นา )

            พักหนึ่งบริกรก็ยกน้ำส้ม ที่ฝานส้มบางๆ ลอยบนผิวน้ำเกร๋ มาเสริฟให้  แอบลอบมองตามก็เห็นว่าเขาน่าจะสนิทสนมกับไกด์หนุ่มเพราะเห็นคุยกันยาว  ก็คงแน่ล่ะถ้าพ่อไกด์ต้องพาทัวร์มาลงที่นี่ทุกวัน เขา 2 คนก็น่าจะต้องเจอกันทุกวัน  และไม่รู้ทุกมริปไกด์หนุ่มเหนื่อยแบบวันนี้หรือเป่า เห็นเช็ดเหยื่อเช็ดหน้ายกใหญ่  ซึ่งผมก็ตั้งคำถามว่า  “มันเหนื่อย และร้อนขนาดนั้นเลยหรา?
            แน่นอน... คนที่ทำงาน กับคนมาเที่ยว  ฟิวมันต่างกัน





            นั่งทอดอารมณ์ จิบน้ำส้ม มองวิวสักพักก็พบจุดสังเกตุ เพราะที่เห็นมีแต่ตึกสร้างเป็นหย่อมๆ บางหย่อมสูง บางหย่อมเตี้ย ตึกในหย่อมเดียวกันจะหน้าตาทาสีเหมือนๆ กัน  ทำให้เราดูออกว่าหย่อมไหน เป็นหย่อมไหน และน่าสนใจที่มองไม่เห็นถนนหรือคนเดินเลย  เพราะระหว่างหม่อมตึก ก็คล้ายส่วนหย่อมที่ใหญ่เขียวครึ้มด้วยต้นไม้ ที่บางหย่อมอีกไม่กี่ปียอดไม้คงสูงกว่าตึกแล้ว
            “สิงค์โปร์ก็ยังคงสภาพเป็นป่าอยู่นั่นเอง  ป่าคอนกรีต  ที่ผสมป่าต้นไม้ และคึกคักไปด้วยป่าการค้า... แต่ป่านี้คงเรียกว่าสวนก็ได้ เพราะดูแล้วสวย”
           
            เมื่อน้ำส้มดูดสุดท้ายสิ้นสุด ไกด์หนุ่มก็เดินเข้ามาชาร์ท (เหมือนมองดูตั้ง นานล่ะสิ ว่าเมื่อไหร่จะดูดหมด) พี่ชายดูสดใสขึ้นมากจากการได้พักเหนื่อย  ผมลุกขึ้นจากโต๊ะ เขาพร้อมนำ  ผมพร้อมเดินตาม  เราเหมือนเริ่มจับสัญญาณ อะไรถึงกันได้ เขารู้ว่าผมอยากจะดูหรือรู้อะไร  เขาพาผมเดินออกจากร้าน เรียบเชิงเขามาที่จุดชมวิวอีกที่  (แต่ก็ยังเป็นวิวเดิม)
           
       ผม          : วิวสวยดีครับ
       ไกด์หนุ่ม :  นั่นบ้านผมเอง
      

       แล้วเขาก็ชี้ไปที่ตึกหย่อมสีฟ้าๆ  ผมประหลาดใจนิดหน่อย ตามสไตล์คนหวง ความเป็นส่วนตัว เพราะการที่คนเราจะพูดถึงบ้านตัวเองให้อีกคนฟัง คงจะต้อง ผ่านการ สนิทสนมเปิดใจกันพักใหญ่  เราในฐานะไกด์กับนักท่องเที่ยว ระยะเวลาแป๊ปเดียว อะไรทำให้เขาเปิดใจพูดเรื่องบ้านกับคนแปลกหน้า
      
       ผม          : ครับ (ยังเก้ๆ กังๆ)
       ไกด์หนุ่ม :  (ยังจะเล่าต่อ) เราเรียกว่า HDB
       ผม          :   หมายถึง Happy Birthday น่ะหรอ (พยายามเล่นมุข HBD)
            ไกด์หนุ่ม  :  (Getมุขและขำนิดๆ) ไม่ใช่หรอก HDB The Housing & Development Board สิงคโปร์เป็นเกาะที่เล็ก แต่คนอยู่มากที่ดินจึงแพง  รัฐบาลจึงสร้างที่อยู่สำหรับให้คนเช่าอยู่  บ้านของฉันเป็นตึกสีฟ้าที่คุณเห็น  และคุณจะเห็นว่าตึกมันจะสูงไม่เท่ากันนั่นหมายถึง ตึกที่สร้างยุคแรกๆ จะเตี้ย ตึกใหม่ๆ จะยิ่งสูงๆ สูงขึ้น เพราะคนเยอะขึ้น
       ผม          : ถ้าบ้านคุณอยู่ตั้งไกลตรงนั้น คุณมาทำงานที่นี่ได้ไง  รถไฟฟ้าหรอ!
       ไกด์หนุ่ม : ไม่ ไม่  รถไฟฟ้าแพง  คนส่วนใหญ่ก็เลือกนั่งรถเมล์  ผมนั่งรถเมล์มาทำงาน ถูกกว่า ไวด้วย   คุณเคยนั่งรถเมล์นี่หรือยัง
       ผม        : ยังเลย  ผมไม่เข้าใจสายรถเมล์ที่นี่  รถไฟฟ้าเข้าใจง่ายกว่า (ตัดภาพ  หน้าโรงแรมมีป้ายรถเมล์   ตึ่ง!)
       ไกด์หนุ่ม : คุณน่าจะลองนะ
       ผม        : อาจจะนะ ^^ แล้วคุณชอบบ้านคุณไหม
       ไกด์หนุ่ม  : ผมชอบนะ  ที่ผมอยู่มันกว้างทีเดียว  แล้วก็สะดวกด้วย รอบๆ บ้านจะมีสวน มีซูเปอร์มาเก็ต มีร้านอาหารอยู่ใกล้ๆ   เดินเอาได้  รัฐบาลเราออกแบบให้แต่ละโครงการมีสิ่งเหล่านี้อยู่ด้วย ผมชอบมากเลย
       ผม  : แค่ฟังผมยังชอบเลย  ที่เมืองไทยนะถึงแม้แต่ละคนมีบ้านของตัวเอง แต่ทุกอย่างก็อยู่ไกลกันไปหมด  คนจึงต้องซื้อรถเพื่อเดินทาง แล้วรถก็ติด เวลาก็หายไปกับการเดินทาง
       ไกด์หนุ่ม : จริง  ผมเคยไปเมืองไทย 2-3 ครั้ง  กรุงเทพเป็นเมืองที่รถติดมาก
       ผม : จริงหรอครับ  เคยไปที่ไหนมาบ้าง
       ไกด์หนุ่ม : ผมเคยไปภูเก็ต แล้วก็กรุงเทพฯ
       ผม : กรุงเทพนั่นแหละ บ้านผม   คุณชอบอะไรในประเทศไทยบ้าง
       ไกด์หนุ่ม  :  ภูเก็ตสวยมากๆ  ทะเลสิงคโปร์ไม่สวยเท่าเมืองไทย   กรุงเทพก็สวยแต่รถติด  อ๋อ...ผมชอบที่มี Street Food อยู่ทุกที่เลย  ผมตื่นเต้นมากเลย มองไปทางไหน ข้างๆ ถนนก็มีอาหารขาย แล้วขายทั้งวันด้วย
       ผม : (ขำ) ใช่ๆ คนไทย Enjoy Eating
       ไกด์หนุ่ม : อาหารไทยเผ็ดมากเลย ผมกินส้มตำ  ต้มยำ เผ็ดมากแต่อร่อย  แล้วก็อะไรนะ....
       ผม : (ลุ้น....ภาวนาว่าอย่าเป็นแมลงทอดเลย เพราะจะดูเป็นบ้านป่ามาก)
       ไกด์หนุ่ม : ปลาหมึกย่าง... ผมงงด้วยว่าทำไมถึงสีเหลือง... ซื้อไป 2ไม้  อร่อยและเผ็ดที่สุด...แล้วเป็นไงรู้ไหม.....​ท้องเสียด้วย
       ผม : (หัวเราะเลย)  เป็นเรื่องธรรมดา... ผมก็ท้องเสียเพราะปลาหมึกพวกนั้น
      
       ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าเวลายังไม่ถึงครึ่งวัน เราต่างพูดเรื่องบ้านของกันและกันแล้ว กับคนที่กรุงเทพเจอหน้ากันทุกวันยังไม่เคยคุยถึงเรื่องบ้านกันและกันเลย... ผมว่าการเปิดใจระดับนี้ทำให้ผมและเขาสนิทกันมากขึ้น สังเกตุจากท่าทางของเราทั้งสอง ทางที่เดินไกลๆ ห่าง เราก็เดินกันใกล้ขึ้น พูดคุย และต่างก็ลดท่าทีที่เป็นทางการลง แล้วเป็นตัวเองมากขึ้น  ซึ่งจริงๆ ผมว่าเราน่าจะละลายฟอร์มของกันและกันตั้งแต่ช็อตถ่ายรูปที่เมอร์ไลอ้อนแล้วล่ะ

       ไกด์หนุ่ม : เอาล่ะ... คุณมาที่ไหนที่อาจจะค้นหาอีกไหม
       ผม      
: Henderson Waves”
           
       เขายกวิทยุขึ้นมาคุยกับปลายสายเขาพาผมมายืนคอยที่ถนนและบอกว่าเราจะนั่งรถไป ใจจริงผมอยากเดินไปดูวิวมากกว่า ผมถามเขาว่าเดินไปได้ไหม  เขาบอกว่าได้นะ  แต่ค่อนข้างไกล  ผมเลยโอเคกับเขา  ดีซะอีกได้นั่งรถไป รู้สึกวีไอพีเข้าไปอีก ไม่นานรถไฟฟ้าขนาดน่ารักก็แล่นมาเทียบ...และแน่นอนในรถไม่มีใครนอกจากคนลุงคนขับและเราทั้งคู่
      

       เห็นท่าจะเหนื่อยหน่อยถ้าเดินตามทั้งตั้งใจ เพราะระยะทางต้องขึ้นๆ ลงๆ ตางทางลดเลี้ยวของภูเขา และขนาดนั่งรถ ยังใช้เวลาหลายนาที  ตลอดเส้นทางแม้จะเป็นป่า แต่ถนนหรือทางก็คุณภาพดีเหมือนฟุตบาทในเมือง ต้นไม้ยังดูออกว่าเป็นเขตป่า แต่ก็มีการตกแต่งปลูกแซมบ้างจนสวยกึ่งสวน และที่เราเล่นผ่านไปเห็นจะเป็นคนที่ล้วนใช้เส้นทางภูเขานี้ออกกำลังกาย  และแล้วรถก็มาจอดเทียบที่ตีนสะพาน  ป้ายขนาดใหญ่ชัดเจน ผมนี่ดีใจเชียวต่างจากไกด์หนุ่มที่ดูเฉยๆ ก็คนมันเห็นอยู่ทุกวันนี้เนอะ
      
       Henderson Waves” เป็นสะพานไม้ตรงๆ ทำหน้าที่เชื่อมภูเขาทั้ง 2 ลูกให้คนสามารถเดินเชื่อมกันได้ ปลายด้านที่ผมยืนอยู่คือ “Moubt Faber Park อีกฝั่งคือ “Telok Blangah Hill Park” สะพานแห่งนี้มีตำแหน่งกับเชาด้วยนะครับ เพราะเป็น “สะพานคนเดินที่ยาวที่สุดในประเทศ” ออกแบบให้เป็นรูปคลื่นทั้งหมด 7 คลื่นโค้งสลับขึ้นๆ ลงๆ และที่เกร๋คือส่วนคลื่นที่เป็นโค้งๆ ทำหน้าที่เป็นหลังคาพร้อมที่นั่งให้ได้ชิลกัน
       ไกด์หนุ่ม : กลางคืนเวลาเปิดไฟ จะโรแมนติคมาก
ผม :  I think so, เสียดายที่ผมต้องไปที่อื่นต่อ ไม่งั้นคงจะอยู่ดูจนพระอาทิตย์ตก






       ตอนนี้แดดเริ่มออกบ้าง จ้าที่เดียว แต่ผมก็ไม่หวั่นออกเดินนำไปตามสะพานชื่นชมไม้แต่ละแผ่นที่เรียงกันเป็นระเบียบ โค้งแต่ละโค้ง ดูมินิมอล แต่abnomal เกร๋มาก ซึ่งต่างกับไกด์หนุ่ม ยืนเอามือป้องหน้า ไม่กล้าท้าแดดร้อนท่าเดียว  ส่วนผมเมื่อเริ่มดูจนอิ่มก็เริ่มหยิบกล้องมา “ถ่ายรูปตัวเอง”
       ไกด์หนุ่ม : ผมช่วยถ่าย?
       ผม :  ขอบคุณครับ  (พอเริ่มสนิทกัน การไหว้วานก็เริ่มต้นอย่างสะดวกใจ)

       พออิ่มหนำ เราก็กลับมานั่งรถคุณลุงที่จอดรออยู่ตรงตีนสะพาน และแล่นตรงกลับมาที่สถานีกระเช้าที่ The Jewel Boxรู้สึกขอบใจที่ไม่ต้องเดินกลับ ถนอมแรงไว้เดินเที่ยวทั้งวันต่อ เขานำผมเดินมาที่ระเบียงไม้ ที่ที่เราพบกันครั้งแรก
       ไกด์หนุ่ม : คุณรอผมที่นี่แป๊ปนึง
       แล้วเขาก็วิ่งหายไป สักพักก็กลับมา พร้อมกับยื่นหนังสือให้เล่มหนึ่
       ไกด์หนุ่ม : หวังว่าจะชอบ
      
       A Ride To Remember เป็นหนังสือเล่มใหญ่ขนาดสี่เหลี่ยมจตุรัส หนากว่า 120 หน้า ปกแข็ง ด้านในพิมพ์กระดาษปอนด์สี่สี เล่าประวัติของกระเช้าลอยฟ้าของสิงคโปร์อย่างละเอียดยิบ  ในฐานะคนชอบหนังสือแอบกรี๊ดในใจเบาๆ เพราะเป็นหนังสือที่ผมเชื่อว่าคนสิงคโปร์น้อยคนที่จะมี และรู้สึกพิเศษมากๆ ที่ได้หนังสือดีๆ เล่มนี้มาจากทริปนี้ (ซึ่งมานึกได้ทีหลังว่า เป็นของที่ต้องได้อยู่แล้วจากการซื้อตั๋ว... แต่ก็นั่นแหละความรู้สึก Exclusive มันไม่เข้าใครออกใคร)  และผมว่าอาการดีใจของผมเก็บไว้ไม่อยู่แน่ๆ เพราะดูเหมือนท่าทางผมแสดงออกจนไกด์หนุ่มจับอาการได้
      

       ไกด์หนุ่ม : เอาล่ะ จริงๆ ก็ถือว่าเราได้เดินทางกันครบทุกที่แล้ว  แต่ผมอยากให้คุณนั่งกระเช้าเล่นไปฝั่งเซ็นโตซ่า

       ผมพนักหน้าอย่างว่าง่าย แล้วเขาก็พาผมขึ้นกระเช้าไป...​   ทั้งกระเช้ามีแต่เราทั้งคู่ เรานั่งตรงข้ามกัน  ผมหยิบกล้องมาถ่ายนั่นนี่ด้วยความตื่นเต้น และไม่ปล่อยให้ความเงียบทำงาน เขาก็ชวนคุย

ไกด์หนุ่ม : คุณจะไปที่ไหนต่อ
ผม
: หลังจากนี้ก็ Red Dot Museum, Marina Barrage, Marina Bay และก็น่าจะงาน​ Dance Festival ที่ Esplanade นะ
ไกด์หนุ่ม : น่าสนุกจัง แล้วที่ผ่านมาไปไหนมาบ้าง
ผม : เยอะมากเลยนะ ( ผมก็เล่าสถานที่ที่ผ่านมาทั้ง 2วัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพิพิธภัณฑ์)
ไกด์หนุ่ม : คุณไม่เหมือนนักท่องเที่ยวที่ผมเคยเจอมานะ
ผม : ยังไงหรือ!?!
ไกด์หนุ่ม : คุณดูสนใจ  จด แล้วก็รู้เรื่องสิงคโปร์ดี สนใจประวัติศาสตร์ คนอื่นๆ ขนาดผมพูดยังไม่ค่อยฟังเลย อยากจะกลับอย่างเดียว
ผม :  ผมชอบสิงคโปร์ครับ ผมถึงกลับมาอีก
ไกด์หนุ่ม : มาผมถ่ายรูปให้



ว่าแล้วเขาก็ขอกล้องจากผม  ถ่ายรูปผมในกระเช้าให้  เนื่องจากมีเวลาเยอะ ผมเลยเช็ครูป ขอให้เข้าถ่ายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้รูปที่ผมพอใจ... แต่เผลอแป๊ปเดียวกระเช้าก็เมื่อครู่ลอยอยู่กลางทะเลก็มาถึงเกาะเซ็นโตซ่า

       เห็นสถานที่ต่างๆ เล็กจิ๋ว  ในสวนน้ำเห็นคนตัวเล็กๆ เล่นอยู่ ตอนที่มาเที่ยวสิงคโปร์กับพี่ชายและพ่อแม่ครั้งก่อน  ผมเดินเล่นในเซ็นโตซ่าและรู้สึกว่ากว้างใหญ่จนหลงแต่มุมจากกระเช้านี้เห็นเป็นเพียงเกาะเล็กๆ ที่เราหมายรวมว่าทั้งเกาะมีแต่เครื่องเล่นและรีสอร์ทเห็นจะไม่จริง เพราะสิ่งเหล่านั้นถูกสร้างกระจุกไว้บางส่วนของเกาะเท่านั้น เนื้อที่อีกประมาณครึ่งเกาะดูนะเป็นป่าอนุรักษ์ที่สมบูรณ์ทีเดียว
      


       ในใจผมแว๊บนึงอยากจะถามชื่อของเขา แหมก็รู้จึกกันมาครึ่งวันยังไม่รู้จักชื่อ และจริงๆ อยากจะถ่ายรูปคู่ด้วยนะ อยากเก็บภาพคนสิงคโปร์คนแรกที่ได้คุยด้วยนานและมากที่สุดไว้ แต่ขณะที่กำลังลังเลเอ่ยปาก เขาก็พูดแซกขึ้นมาก่อน

ไกด์หนุ่ม : ออฟฟิศผมอยู่ที่นี่ ช่วงบ่ายนี้ผมจะทำงานในออฟฟิศ  ผมคงต้องลงแล้วละ

กระเช้าเล่นเข้าสู่สถานีแล้ว ชะลอความเร็ว  เขากระชับกระเป๋าเป้ พนักงานด้านนอกจับกระเช้าไว้  ประตูเปิดออก  การชักชวนใดๆ ของผมช้าไปเกินไปแล้ว
       ผม                         : ขอบคุณมากๆ วันนี้ผมสนุกมาก
       ไกด์หนุ่ม     : ผมก็เหมือนกันครับ  บาย
       ผม                         : บาย

       เขาลงกระเช้าไป… แว๊บนั้นกะจะลงตามไปแล้ว ขอถ่ายรูปและถามชื่อ  แต่ประตู ถูกปิดลงเสียก่อน กระเช้าแล่นออกไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น ในกระเช้าขากลับตอนนี้มีแค่ผม

       ผมกลับมาลำพัง เหมือนตอนนั่งไป  ไปคนเดียว ก็กลับคนเดียว ซึ่งก็ถูกต้องอยู่แล้ว แต่น่าแปลกที่จู่ๆ ระหว่างทางได้เจอคนแปลกหน้า 1 คน ที่ต้องร่วมทางกัน แล้วก็ต้องจากกัน ต่างคนต่างก็ไปในที่ทางของตัวเอง  
        
บางทีมันก็เพียงพอแล้ว และอาจจะดีที่สุดแล้วที่เป็นแบบนี้ก็ได้นะ  เราได้รู้จักกัน โดยที่ไม่รู้จักกัน  เขารู้จักผมโดยที่ไม่รู้จัก  และผมรู้จักเขา โดยที่ไม่รู้จักเขา
       แต่เราจะมีตัวตนในความทรงจำของกันและกัน
       เป็นสิ่งที่รู้กันแค่ 2
คน


       เอิ่บ...ฟังแล้วดูเป็นคู่จิ้นวายนะ....
      






ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เรื่องย่อ “Frozen” (Disney's) โฟรเซ่น - ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ” : จากมุมมองของผม หลังชม (review)

สไปร์ท ฮอร์โมน : ซ่าๆ ใสๆ (กินสไปร์ท ต้องใส่ถุง) : (Hormones วัยว้าวุ่น เดอะซีรีย์)

เต้ย ฮอร์โมน : ตำนานแห่งดอกกุหลาบที่ถูกสาป (Hormones วัยว้าวุ่น เดอะซีรีย์)