นิยายเที่ยวสิงคโปร์ : Chapter 18 _Day3: เขา...ซ่อนอยู่ในเขา (ซิงกะโปโล : Singapolo)



ไม่มีทางหนี...ได้เลย... ฉันเลยต้องเอ่ยปาก....
Me?!!!!?!!

วัดใจไปเลยว่ะ เอาให้ชัวร์ เล่นเดินมาดักขนาดนี้... ถ้าทำอะไรผิดเดี๋ยวค่อย หาข้อแก้ตัวแล้วกันเว้ย
ชายคนนั้น : “ใช่...คุณนั่นแหละ....  ไหนคุณหันตัวมาหน่อยทางผมหน่อยสิ”
ผม          : “......(หันตามสั่ง พร้อมโปรยยิ้มสยาม).....”
            ชายคนนั้น
: “ผมเห็นสติ๊กเกอร์ของคุณ ใช่จริงๆ ด้วย​​​”
แล้วเขาก็หันรี หันขวาง มองไปรอบๆ ระเบียงไม้ ที่ดูก็รู้ว่าไม่มีใครเลย นอกจากเราสอง  ประเด็นคือเขาก็มองนาฬิกาไปดู ดูเหมือนคิดอะไรบางอย่างด้วย แล้วก็มองไปรอบๆ อีกด้วย.... ซึ่งผมก็คาใจด้วย  เอาไงวะ  จะจับอะไรเป่าวะเนี่ย หรือจะปล่อยก็ปล่อยเบย  กดดันนะเฟ้ย...แช่แฟ้บ

ชายคนนั้น : “คุณมาคนเดียว..!?!
            ผม          
: i think so ^^”
ชายคนนั้น :OK Ummm ฉันเป็นไกด์ที่จะพาคุณชมที่นี่วันนี้ ผมประหลาดใจมากเลยที่มีคุณแค่คนเดียว...”
ผม          : ผมก็ประหลาดใจครับ  ว่าแต่คุณรู้ได้ไงว่าผมกำลังจะไปไหน
            ชายคนนั้น
: “สติ๊กเกอร์บนเสื้อคุณไง มันบอกว่าคุณอยากไปเที่ยวไหนบ้าง”
           
เออ ลืมสังเกตุไปเลย สิ่งนึงที่พอมองไปที่นักท่องเที่ยวที่ลงกระเช้ามา สติ๊กเกอร์ของพวกเขา ไม่มีใครสีเหมือนผมเลย และที่ไม่ได้สังเกตุมากไปกว่านั้นคือ “ทริปนี้มีไกด์ด้วยเฟ้ย ดีจัง  ไม่หลงป่าแน่นอน ^^

ชายคนนั้น :  คุณเป็นคนสิงคโปร์หรือเปล่าครับ
ผม          : ไม่ครับ ผมคนไทย
ชายคนนั้น : ok.... ผมว่าคงไม่มีใครมาแล้ว เราเริ่มเลยดีกว่า
ผม          :  ดะ ได้ คับ…

ยังตั้งตัวไม่ติด ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก  ท่าทางเข้าจะประหม่ากับผู้ร่วม ทางต่างชาติไม่น้อย ผมเองก็ไม่ต่างกันหรอกที่ยังจูนเคมีเจ้าหน้าที่หนุ่มคนนี้ ไม่ออกเหมือนกัน      และเขาพาผมเดินเข้าไปในอาคารกระจกตรงหน้า
ชายคนนั้น (ที่ขอเรียกว่าไกด์หนุ่ม) : ที่นี่คือที่แรกที่จะพามาเยี่ยม (พี่แกเริ่ม ประโยคแบบเป็นทางการพาเที่ยวมากๆ ) คือ “Jewel Box” ถ้านั่งกระเช้ามาเข้ามา ก็น่าจะเห็นแล้วว่ามันออกแบบเป็นรูปทรงเพชร ตั้งอยู่บนยอดเขาที่นี่เป็นร้านอาหาร ที่เก๋มากๆ เพราะวิวสวย และอย่างวันนี้… คนมักมาแต่งงานที่นี่”

จริงอย่างที่เขาพูดนะครับ  ตัวอาคารโปร่ง ถ้านั่งในร้านก็มองออกไป ข้างนอก เห็นวิวได้ไกล และถ้านั่งนอกระเบียงก็จะบรรยากาศดีแบบยอดมงกุฏเพชร  ผมเดินนำออกไปดูวิวนอกระเบียง เพราะว่าในร้านพนักงาน กำลังจัดเตรียมสถานที่ กันคึกไปหมด  และนั่งคงทำให้พี่แกนึกกว่าผมอยากมองวิวมั้ง

ไกด์หนุ่ม : เมื่อกี้เห็นว่าชอบถ่ายรูป เดี๋ยวผมถ่ายรูปคุณตรงระเบียงนี้ให้นะ

คือเอาจริงๆ ยังไม่ได้ตั้งตัวจะถ่ายตรงนี้หน้านะ คือหน้ามัน เสื้อผ้าก็ยังไม่ลงตัว แต่ก็คนไทยอ่ะครับ ปฏิเสธไม่เป็น เลยอ่ะ ถ่ายให้ก็ได้


ไกด์หนุ่ม : 3....2...1   Nice!!!
ผม        : Sound Good!` Thank You ^^ ​(รับกล้องมาดู....เอิ่บ มุมกล้อง และหน้าเหวอเลเวล 8  .... มันคือ Nightmare มากกว่า Nice นะ)
ไกด์หนุ่ม : เราไปที่อื่นกันเถอะ... เราปล่อยให้เขาจัดเตรียมสถานที่กันเถอะ
            ผม       
: ได้เซ่......​(อยากให้ถ่ายใหม่หรือเกิ้น.. แต่ก็คนไทยน่ะ เกรงใจ)

            ไกด์หนุ่มเดินพาผมออกจากอาคารทรงเพชรแล้วกลับมาที่ระเบียงแรกที่เราพบกัน ลงบันไดที่ผมจะลงแต่แรก แล้วการเดินทางในเขตป่าของผมก็เริ่มเสียที  มองจากมุมของผม เครื่องแต่งตัวเขาพร้อมเดินป่ามาก กางเกงวอล์มขายาว รับด้วยรองเท้ากีฬาที่ดูท่าจะเดินแล้วนุ่มสมบุกสมบัน ข้างบนเป็นเสื้อยืดคอโปโลซึ่งน่าจะเป็นชุดประจำตำแหน่ง คล้องบัตร แขวนป้ายชื่อ มีวิทยุสื่อสาร และอุปกรณ์อื่นๆ ที่จัดเตรียมมาสำหรับเดินป่า และที่เขาหยิบขึ้นมาใหม่คือกระป๋องสเปรย์ที่เขาหยิบมาพ่นที่กางเกงตัวเอง
            ไกด์หนุ่ม : ที่นี่เป็นป่าชื้น อาจมียุง… ผมพ่นให้เอาไหม
            ผม        :  อ๋อไม่เป็นไรครับ
           
            ในมุมของไกด์หนุ่มที่มองผมกลับมาคงเป็นผมนี่แหละที่แต่งตัวไม่เหมาะกับเดินป่าที่สุด  ผ้าใบขาวสะอาดพื้นบางที่น่าจะใส่เดินแถวออร์ชาร์ดมากกว่า กางเกงขาสั้น เสื้อยืดสกรีนลายข้างป่า ทับด้วยแจ็คเก็ททรงสูทสีนำเงิน จบด้วยกระเป๋าหนัง 1 ใบ

ไกด์หนุ่ม : แน่ใจหลอ ผมสเปรย์ให้ได้นะ
ผม        :  ผมไม่กลัวยุงครับ...​รู้ไหม ผมเคยเป็นไข้เลือดออกมาแล้วนะ

พ่อไกด์หนุ่มตกใจอย่างเห็นอาการเลย... ถ้าซ้ำว่าจริงใช่ไหมเขากลัวมากเพราะ เป็นโรคที่ตายได้เลย  ในประเทศพัฒนาอย่างสิงคโปร์การเป็นโรคนี้ดูเป็นเรื่องใหญ่ และสำคัญละมั้ง แต่สำหรับประเทศไทยที่จานรองกระถาง ต้นไม้เป็นที่เพาะพันธ์ยุงลาย นั้นน่าจะเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยๆ ผมย้ำบอกเขาไปว่าจริง… เป็นไข้ไปหลายวันเลยล่ะ
ไข้เลือดออกสำหรับผมเป็นอะไรที่น่าจดจำครับ ผมไม่รู้ตัวเลยว่าได้รับสิทธิ์ให้ เป็นโรคนี้จำได้ว่าเริ่มมีอาการแปลกๆ หนาวมากๆ ขนาดนั่งทำงานแล้วใส่เสื้อกันหนาว ยังไม่หายหนาว คนทักว่าหน้าซีดๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก… วันเสาร์รุ่งขึ้น นอนน้อย ต้องตื่นแต่ตี 4 นั่ง Taxi ไปตึกแกรมมี่เพื่อ Audiotion  The Star (เริ่งจริงนะ)  ดีที่พก พาราไป 1 กระปุก คอยเติมยาทุก 4 ชั่วโมง ต่อแถวตั้งแต่ 6 โมงเช้า ได้ติดหมายเลย ประมาณบ่ายกว่า  กินข้าวมื้อแรกของวันตอนเกือบบ่าย 2 เป็นโจ๊กคัพที่ ซื้อในปั๊ม น้ำมันข้างตึก แล้วก็ต้องรีบไปต่อคิว เข้าห้อง Audiotion เกือบบ่าย3  นึกว่าเสร็จในห้อง แล้วจบกลับบ้าน ที่ไหนได้มีเซอร์ไพร์ส..... เพราะหนังจากห้อง Audition ที่ทุกคนจะได้เข้าไปร้องเพลงในเวลา 30 วิอย่างเสมอภาคนั้น เมื่อจบห้องนั้น จะมีบางคน และรวมทั้งผมจะถูกเรียกตัวจากหมู่คนทั้งหมด เข้าแถวและหายไปในประตูลับของตึก.... พ้นประตูไปก็พบว่ามีห้อง Audtion อีกห้องซ่อนอยู่ มีคนเข้าคิวน้อยกว่า เจ้าหน้าที่อธิบายว่า ห้องนี้จะพิเศษขึ้น คือมีไมค์ มีการบันทึกเทป... น้องเปิดประตู เดินเข้าไปที่ไมค์ แนะนำเลขที่หน้าอก บอกชื่อ แล้วร้องเพลงได้เลย.... ประเด็นคือ พลังผมหมดแล้วครับ โจ๊กคัพ พร้อมไข้สูงมีไว้สำหรับ Auditionรอบเดียวเท่านั้น ตอนนี้เบลอไปหมด แรงไม่มี ลมไม่มี เนื้อจำไม่ได้แล้ว... ตื่นเต้นด้วย พอถึงคิวผม เปิดประตูเข้าไป ความพังก็มาเยือนครับ สะดุดขายตัวเอง พูดตะกึกตะกัก ร้องเพี้ยน... จบตรงนั้น พาร่างตัวเองกลับบ้าน.... วันรุ่งขึ้นตัดสินใจไปหาหมอ เจาะเลือดจึงเฉลยว่าได้รับสิทธิ์เป็นไข้เลือดออกมา 2-3 วันแล้ว  แล้วที่หมอตกใจคือ เลยภาวะเกร็ดเลือดตัวซึ่งถือว่าวิกฤติมาแล้ว ช่วงนี้เกร็ดเลือดเริ่มฟื้นตัวแล้ว... หุหุ นึกในใจ...ดีนะไม่ตายคาห้อง Audition ...
           
ไกด์หนุ่มพาผมเดินตามทางมาเรื่อยๆ รอบๆ ทางเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวเยอะขึ้น  ป่าที่ผมคิดไว้ดูเหมือนไม่ใช่ป่าแบบดิบๆ เซอร์ๆ แต่เหมือนเขาทำที่นี่ให้เป็นสวนป่า มากกว่า คือมีความเป็นป่าอยู่ในพื้นที่เขาอยู่ แต่ก็ตกแต่งให้ไม่รกจนน่ากลัว และดูอันอันตราย ทำทางเดิน ปลูกไม้ดอก จัดระเบียบจนดูเป็นสวนครึ้มๆ ดีๆ นี่เอง  ผมค่อนข้างตื่นเต้นที่ได้เห็นนะครับ สิงคโปร์จัดการทุกอย่าง แม้แต่ป่าไม้ก็ตามที
ไกด์หนุ่มคงเห็นป่านี้เป็นของธรรมดาที่ชินตาแล้ว เขาจึงเลือกพาผมไป ณ บริเวณหนึ่งซึ่งเขาก็กล่าวอวดกับผม

            ไกด์หนุ่ม : ไฮไลท์ของที่นี่ “ดอกไม้ประจำชาติสิงคโปร์  มิส โจควิม”

ที่เขาผายมือไป เป็นดงที่ปลูกกล้วยไม้ไว้หน้าแน่นพอดู แต่แปลกที่ไม่ค่อยมีดอก หรือถ้ามีดอกก็เริ่มเหี่ยว และเหมือนจะมีรอยเด็ด  ทั้งดงนั้นมีดอกสมบูรณ์เหลืออยู่แค่ ดอกเดียวเท่านั้นเอง แต่ก็สวย สวยมากๆ

ไกด์หนุ่ม : ผมรู้ว่าเมืองไทยมีกล้วยไม้เยอะ แต่จะสวยกว่านี้นะ แต่นี่คือกล้วยไม้ประจำชาติเลย เราพบมันบนยอดเขาแห่งนี้ จึงปลูกมันไว้เยอะมากที่นี่  ข้างล่างไม่ค่อยมีให้เห็น   ถ้าออกดอกทั้งหมด คงสวยมากแต่ เสียดายที่โดยเด็ดโดน เด็ดไปบ้าง แล้วฝนก็ตกอีก
ผม :  สวยมากเลยครับ ผมไม่เคยเห็นดอกพันธ์นี้มาก่อนเลยครับ^^


ตามข้อมูลที่ได้สาเหตุที่กล้วยไม้นี้ชื่อว่า “มีส โจควิม” มาจากชื่อของชาวอาร์มาเนียน “แวนดา มิส โจควิม” (Vanda Miss Joaquim) เป็นผู้ค้นพบกล้วยไม้สายพันธ์นี้ครับ กล้วยไม้นี้ถูกยกสถานะให้เป็นดอกไม้ประจำชาติตั้งแต่ปี ค.ศ.1981 หรือ พ.ศ.2524

ไกด์หนุ่มเริ่มมีทีท่าสบายๆ มากขึ้น คงเพราะเราได้คุยกันระหว่างทาง และดูเหมือนเขาจะเป็นคุยเก่งด้วยนะเพราะชักจะเริ่มชวยผมคุยตลอดเลย  ไม่เว้นแม้แต่การเดินขึ้นเขาทางลาดชันแบบนี้ เขาก็ยังจะชวนคุยทั้งที่มีอาการ หายใจหอบถี่

ไกด์หนุ่ม :  “คุณเคยมาเที่ยวที่สิงคโปร์แล้วหรือเปล่า”
“เคยสิ ครั้งนี้ครั้งที่ 2 แล้ว”
ไกด์หนุ่ม : “ดีจัง  แล้วคุณมาครั้งแรกเมื่อไหร่”
“ให้ทายๆ”
(เป็นนิสัยเสียของผม คือ เวลาใครถามอะไรด้วยท่าทีอยากรู้มากๆ ผมจะแกล้งยั่วความอยากรู้ โดยให้เขาทายคำตอบ... แล้วก็จะเฉยก็ทำท่าทีอืดอาด)
ไกด์หนุ่ม            : 3 ปีที่แล้ว?”
ผม        : “ใม่ช่ายยย...​มกรา ที่ผ่านมานี่เอง”
ไกด์หนุ่ม : “ว้าว... คุณกลับมาเร็วจัง แล้วนี่ยังมาคนเดียวอีกเนี่ยนะ”
ผม        : (^^ ) ”
ไกด์หนุ่ม : “ชักอยากรู้แล้วล่ะ ว่าอะไรทำให้คุณกลับมาที่นี่เร็วขนาดนี้”
ผม        : “อืม.......” (คราวนี้ไม่ยั่วให้ทายละ....)
ไกด์หนุ่ม : “............”
ผม        : “ จริงๆ แล้ว ผมมมาจากอดีต และกลับมาเพื่อแก้ไขบางสิ่ง”
ไกด์หนุ่ม : “............”

ผม        : ล้อเล่นน่ะครั้งที่แล้วไปแต่ทีเที่ยวที่ทุกคนไปกัน  แต่ผมว่าสิงคโปร์ มีอะไรอีกมากที่น่าสนใจ ที่นี่มีอะไรพิเศษเยอะที่คนไม่รู้ และอยากหา สถานที่ใหม่ๆ ในสิงคโปร์ที่ไม่ซ้ำใคร เลยเที่ยวกลับมาคนเดียวครั้งนี้ซะเลย”

ไกด์หนุ่ม :  แล้วคุณจะได้พบสิ่งที่ซ่อนอยู่อีกมากครับ... อย่างเช่นที่นี่
      
ไกด์หนุ่มทำหน้าที่เหมือนผู้กำกับละครเวที ค่อยๆ คลี่คลายสิ่งที่ซ่อนอยู่ในภูเขาแห่งนี้ที่ละอย่าง และสถานที่ที่เราเพิ่งมาถึง ดูไกลๆ เป็นกำแพงขาวๆ ธรรมดา มีหลังคาคลุมให้เราเดินได้รอบกำแพงนั่น แต่พอมองใกล้ก็พบว่าซ่อนของดีไว้
      
       ไกด์หนุ่ม : ถ้าคุณอยากรู้จักสิงคโปร์ คุณก็จะได้รู้จัก... ที่นี่จะทำให้คุณรู้จักสิงคโปร์ตั้งแต่แรกเกิด....

       กำแพงแต่ละด้านจะมีรูปสลักนูนต่ำเป็นพระเอกอยู่ กำแพงแต่ละด้านจะเล่าเรื่องสิงค์โปร์เป็นฉากไล่จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ประกอบดัวอักษรสลักที่บรรยายเป็นภาษอังกฤษและจีน

       ไกด์หนุ่ม : เดิมที ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่เรียกว่าเทมาเส็ค  เจ้าชายองค์หนึ่งเป็นชาวมาลายูมาที่นี่เพื่อแสวงหาดินแดนใหม่ และเจ้าชายก็ได้พบ
กับสิงโต... เจ้าชายจึงเรียกที่นี่ว่า “สิง ขะ ปุ ระ” และ เป็นชื่อ “สิงคโปร์” ในที่สุด

       แม้จะเป็นประวัติศาสตร์ที่ได้รับรู้มาแล้ว เพราะทำการบ้านมาดี...​แน่ล่ะ ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้คุณจะรู้ว่าเห็นเงียบๆ แต่ผมศึกษามาเพียบนะครัช.... แต่ที่พิเศษกว่าเพราะครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้ประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์ จากปากและมุมมองของคนสิงคโปร์
      
       เขาพาผมเดินไปตามรูปสลักและเล่าเรื่องบ้านเมืองของเขา ไล่เรียงมาถึงจุดที่เซอร์ราฟเฟิลสถาปนะสิงคโปร์ บ้านเมืองเจริญขึ้นด้วยการเป็นเมืองท่า มีคนหลายหลากชาติมาอยู่รวมกัน ทั้งฝรั่ง อินเดีย และจีน โดยเฉพาะชาวจีนทำการค้าและขายแรงงานที่โบ๊ทคีย์จำนวนมาก
      
       ไกด์หนุ่ม : โบ๊ทคีย์เป็นท่าเรือใหญ่ที่ใช้ขนสินค้าลงเรือออกไปขาย โดยเฉพาะพวกเครื่องเทศที่ส่งออกมาก แน่นอนว่าขนไปมา กระสอบก็มีรั่วบ้าง แถวนั้นจะมีกลิ่นหอมไปด้วยเครื่องเทศ และมีที่ตกลงพื้นเกลื่อนไปหมด พวกกรรมกรจีนไม่มีเงิน ก็เก็บเครื่องเทศพวกนี้แหละไปทำอาหาร เอาไปต้มกับโครงกระดูกเป็น ซุปชื่อ บักกุเต๋... อาหารขึ้นชื่อของที่นี่
      
       เริ่มมีความพิเศษแล้วล่ะ ประวัติศาสตร์ที่มาจากปากของคนสิงคโปร์เอง เป็นมุมที่บางทีคนในบ้านเท่านั้นทีจะรู้  และผมชอบที่นี่เพราะปกติประวัติสิงคโปร์มักข้ามช่วงโหดร้าย สมัยสงครามโลกที่ถูกญี่ปุ่นยึดครอง แต่ผนังที่นี่เล่าประวัติศาสตร์ช่วงนั้นอย่างชัดเจน ไม่อายตรงไปตรงมา 

       ไกด์หนุ่ม : แต่ก่อนเราเป็นส่วนหนึ่งของมาเลย์ แต่นายกรัฐมนตรีคนแรกของเราได้ประกาศแยกตัวเป็นอิสระ และพัฒนาประเทศให้เจริญขึ้นมาก... เขามาชื่อเสียงไปทั่วโลกเลย คุณรู้ไหมว่าใคร
       ผม : “....................”
       เชี่ย
! แย่ละ ถามอะไรยากขนาดนี้  ทำไมไม่มีข้อมูลอยู่ในหัวเลยวะ...ดังจริงเป่าเนี่ยคนนี้.... อยากจะถามกลับเหลือเกินว่า แล้วคุณรู้จักนายกรัฐมนตรีคนแรกของไทยไหม  พระยามโนปกรณ์นิติธาดาน่ะ...
       ผม “ I Don't Know” (ยิ้มเจื่อนๆ )
       ไกด์หนุ่ม : ลี กวน ยู ไง
       ผม             : อ๋อ นึกออกแล้ว ผมเคยได้ยินเชื่อนี้มาก่อน
       ( รู้จักจริงๆ เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนจริงๆ แต่เผลอนึกไปว่าเป็นประธานาธิบดี ของเกาหลี  คุณลี คุณลี... สรุปพังพินาศ จำผิด)

       แล้วเรื่องก็เล่ามาถึงการพัฒนาประเทศแต่ละด้านเข้าสู่สมัยใหม่ การคมนาคม การสื่อสาร การค้า วัฒนธรรม อุตสาหกรรม รวมถึงการพัฒนาประเทศที่ไม่ลืมรากเหง้าของต้นเอง

       ไกด์หนุ่ม : สิงคโปร์โตขึ้นมาก สิ่งที่เราทำคือต้องรักษาของเก่าเป็นเขตอนุรักษ์ ตึกใหม่ก็จะสร้างในที่ที่จัดเตรียมไว้เพื่อการเติบโต คุณน่าจะเห็นว่าที่นี่มีทั้งตึกเก่าสวยๆ และตึกใหม่สูงๆ   เราสร้างออร์ชาร์ดให้มีเป็นแหล่งชอปปิ้งที่คุณน่าจะไปเดินเที่ยวดูนะ  แล้วเราก็สร้างสวน สร้างพื้นที่ธรรมชาติไว้ในเมืองด้วย
       ได้ฟังไกด์หนุ่มเล่าแล้วรู้สึกอึ้งนะครับ  สิ่งที่เล่านอกจากเขาจะรู้ประวัติศาสตร์ดีแล้ว ยังเล่าแผนพัฒนาชาติให้เราฟังได้คล่องอีกด้วย  ดูเหมือนรัฐบาลสิงคโปร์จะเล่าประวัติศาสตร์ของตัวเองย้ำ บ่อยๆ ไปทุกที่นะครับ เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็จะเจอสถานที่ที่เล่าประวัติศาสตร์สิงคโปร์ซ้ำๆ จนจำได้ขึ้นใจ  เผลอคิดไปเองแล้วว่า คนสิงคโปร์น่าจะเล่าประวัติศาสตร์ของตัวเองได้หมด รวมทั้งแผนพัฒนาชาติที่ชัดเจนของเขาด้วย... ซึ่งนั่นหมายความว่า คนของเขารู้ว่า เขามาจากไหน ผ่านอะไรมา เขาเป็นใคร และต้องไปต่อทางไหน....






       สำหรับคนไทย... ให้ลองเราประวัติศาสตร์ไทย... คงมีกระท่อนกระแท่น...​และถ้าจะเล่ามานโยบายของชาติเราจะไปต่อทางไหน...ผมว่าคงมีบ้าใบ้อึ้งเหวอ!

       ไกด์หนุ่ม : ภาพสุดท้ายนี้ เป็นแผนที่สิงคโปร์ทั้งหมด จะเห็นเลยว่าเราวางแผนอะไรกันไว้บ้าง ตรงนั้นคือแหล่งท่องเที่ยว ตรงนั้นเป็นแหล่งการค้า ตรงนั้นจัดไว้เป็นพื้นที่ธรรมชาติ ตรงนั้นเป็นทางเรือ... ตรงนั้นเป็นเมืองเท่า ตรงนั้นเป็น.........

       พี่แกเล่าง่ายซะจนเหมือนเล่นเกมส์ออกแบบเมือง Sim City อย่างงั้นแหละ....
ผมเองก็ฟังแล้วก็วาดๆ รายละเอียดตามที่เขาเล่าอะไร แต่พี่แ
เล่าเร็วมาก ผมเลยวาดชุ่ยๆ เป็นลักษณะที่ผมเข้าใจเองคนเดียว

       ไกด์หนุ่ม :  ที่ผังมาผมเห็นคุณจดตลอดเลย ขอดูหน่อยสิ
       ผม         : (ยื่นสมุดให้)
       ไกดหนุ่ม : มันดูไม่ค่อยเหมือนสิงโปร์เท่าไหร่นะ ^^
       ผม          : มันเป็นรหัสลับน่ะ...
       ไกด์หนุ่ม :  อีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนอาจจะไม่รู้เกี่ยวกับที่นี่
      
       มาอีกละ ตื่นเต้นอีกละ...ซ่อนอะไรไว้อีกพ่อคุณ...

       ไกด์หนุ่ม : เมอร์ไลอ้อนตัวสำคัญนอกจากมาริน่าเบย์ และเซ็นโตซ่าแล้ว
                        มีอีกตัวหนึ่งซ่อนอยู่ที่นี่

       แล้วเขาก็พาเดินพ้นแนวกำแพงไปตรงสุดขอบของพื้นที่เขาตรงนั้น.... มองลงไปด้านล่างที่ต่ำลงไปเล็กน้อยอีกระดับ เป็นลานที่เมอร์ไลอ้อนสีขาวตั้งอยู่
แม้รู้บ้างแล้วจากไกด์บุ๊คว่าที่นี่มีเมอร์ไลอ้อนซ่อนอยู่อีกตัว แต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้เพราะสถานที่ตั้งเหมือนถูกบังสายตาอยู่ ถ้ามาเองคงเดินเลยไปหาไม่เจอแน่นอน

       ไกด์หนุ่ม     :  คุณไปยืนตรงนั้นได้นะ เดี๋ยวผมถ่ายรูปให้

       ครั้งนี้ต่างจากครั้งแรกที่ระเบียงครับ... ผมตอบรับแบบเต็มใจ  ฝากกระเป๋า  แอ็คท่าถ่ายชนิดที่เรียกว่าเปิดเผยตัวตนละ  ถ่ายเสร็จ เรียกดูภาพ ไม่ถูกใจ ถ่ายใหม่ ใช้กล้องไม่ค่อยเป็น สอนเทคนิคให้ จนได้ภาพมีกะบะหนึ่งซึ่งผมพอใจ ^^

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เรื่องย่อ “Frozen” (Disney's) โฟรเซ่น - ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ” : จากมุมมองของผม หลังชม (review)

สไปร์ท ฮอร์โมน : ซ่าๆ ใสๆ (กินสไปร์ท ต้องใส่ถุง) : (Hormones วัยว้าวุ่น เดอะซีรีย์)

เต้ย ฮอร์โมน : ตำนานแห่งดอกกุหลาบที่ถูกสาป (Hormones วัยว้าวุ่น เดอะซีรีย์)