นิยายเที่ยวสิงคโปร์ : Chapter15_Day2: มี... ใช้ให้หมด (ซิงกะโปโล : Singapolo)


         
             การอินกับท่านเซอร์แรฟเฟิลส์ไม่ได้ใช้เวลานานมากครับ เพราะการจ้องหน้า ท่าน เดินวนรอบแท่นสัก 10 รอบ แถมเวลาถ่ายรูปอีกจนหนำใจก็ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที ตอนนี้ 6 โมงกว่าๆ  น่าแปลกที่ท้องฟ้าหน้าหนาวที่นี่ 6 โมงแล้วแดดยังแรงอยู่เลย

หากเราดูแผนที่โลกเริ่มต้นจากกรุงเทพ ลากเส้นลงมาจะเจอกัวลาลัมเปอ และสิงคโปร์ซึ่งอาจจะตั้งอยู่เยื้องซ้ายไปทางขวาแถบนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่พ้นภาคอีสานของไทย แต่ทำไมเวลาของสิงคโปร์จึงต่างจากไทยตั้ง 1 ชั่วโมง
คำเฉลยอยู่ที่สิงคโปร์ตั้งเขตเวลาตัวเองให้ตรงกับฮ่องกงครับ...เพราะสิงคโปร์ต้องติดต่อกับฮ่องกงก็เลยปรับให้ตื่น ให้ทำงาน ให้พักพร้อมกันเสียเลย... (ปูมหลังซึ่งน่า จะ เกี่ยวกันผมว่าเริ่มตั้งแต่สมัยอาณานิคมนั่นแหละครับ อังกฤษภายหลัง ได้ปกครอง ฮ่องกง และพัฒนาเป็นท่าการค้าที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง เท่ากับว่าอดีตอังกฤษครอบครอง ท่าการค้าที่สำคัญของเอเชียไว้ได้คือ ฮ่องกง และสิงคโปร์นั่นเอง)
อย่างที่เราที่เราทราบๆ กันดีว่าสิงคโปร์มีข้อจำกัดเยอะแยะเต็มไปหมด แต่เขา ก็ทำให้ทุกข้อจำกัดมีทางออกเสมอ เช่นเรื่องเวลาที่ก็ปรับเป็นอีกไทม์โซนหนึ่งเพื่อ ประโยชน์ทางการค้า  เรื่องที่ดินที่มีจำกัดเขาก็พยายามใช้ให้หมด ให้เกิดประโยชน์ สูงสุดเสมอ เช่นเดียวกับ เอสปลานาสพาร์ค Esplanade Park สวนที่ตั้งอยู่เรียบอ่าว สิงคโปร์ ที่ผมเดินมาถึงนี้เอง จากรูปปั้นท่านเซอร์ เดินเรียบแม่น้ำสิงคโปร์ ตัด ACM มาทางปากอ่าวก็จะเจอสวนแห่งนี้แล้วครับ
โดยการขึ้นชื่อว่าสวนแล้ว เราๆ คนไทยคงจินตนาการถึงพื้นหญ้าเขียวกว้าง ต้นไม้สูงใหญ่คลุมครึ้ม แต่ที่นี่เป็นแม้พื้นที่ว่างไม่กว้างมากแต่ก็ยาวครับ  ทำหน้าที่ เป็นทางเดินด้วย แต่ก็มีการแบ่งพื้นที่เป็นบล็อคๆ ปลูกต้นไม้เล็กใหญ่บ้าง สร้างเป็นอนุสารีย์  หรือน้ำพุบ้างตลอดทางเดินริมอ่าวสิงคโปร์  และการใช้พื้นที่เล็กๆ นี้ทำให้เป็นแหล่ง พักผ่อนของชาวเมืองก็ดูจะเข้าท่าน่านะครับ เพราะมองไปรอบๆ ก็เห็นชาวเมืองใช้ สถานที่นี้ในการนั่งพักผ่อน บ้างก็จ็อกกิ้ง บ้างก็พาลูกมาวิ่งเล่น โดยมีวิวสวยๆ เป็น มาริน่าเบย์อยู่ข้างหน้า มีลมพัดโกรกเบาๆ สบายเชียว

สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างผม สวนนี้ไม่ได้สวยสักเท่าไหร่ แต่เป็นที่ตั้งของ อนุสรร์สถานที่มีประวัติน่าสนใจถึง 4 แห่งด้วยกัน เริ่มจาก อนุสาวรีย์ดาลเฮาซี่   (Dalhousie Obelisk) ที่หน้าตาเป็นเสา โอเบลิคแบบอียิปต์) สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ รำลึกถึงการมาเยือนสิงคโปร์ในปีค..1850ของท่านมาควิสต์ดาลเฮาซี่ (Marquis Dalhousie) ผู้สำเร็จราชการของอินเดีย (ว่าแต่ ทำไมต้องเป็นเสาอียิปต์)

  ต่อมาน้ำพุสไตล์วิคตอเรียน ที่ชื่อ  “น้ำพุ ทันคิมเส็ง” (Tan Kim Seng Fountain) สวยๆ สีฟ้าขาวตัดกับสีเขียวของต้นไม้รอบๆ ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างยุค ประวัติศาสตร์ น้ำพุนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงคุณ Tan Kim Seng ผู้สร้างคุณงาม ความดีไว้มากมาย ไม่ว่าเป็นการบริจาคให้กับโรงเรียน โรงพยาบาล และที่สำคัญที่สุด คือการบริจาคเงินจำนวนมหาศาลเพื่อการก่อสร้างระบบน้ำประปาสาธารณะ เพื่อให้ชาวสิงคโปร์ มีน้ำสะอาดๆ ได้ใช้กัน

            เดินต่อไปอีกหน่อยก็เจอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกของทหาร 124 คนที่เสียชีวิต ในช่วงสงครามโลก (Cenotaph) เค้าจะสลักตัวเลขปีตามขั้น บันไดเรียง จาก 1914 – 1918 ที่ด้านข้างๆ ของอนุสาวรีย์ก็จะมีชื่อของทหารหาญที่ เสียชีวิตใน ครั้ง นั้น และ มีคำพูดว่า "They died that we might live" อยู่ด้วย

อนุสาวรีย์ระลึกถึงวีรบุรุษลิมโบเส็ง (Lim Bo Seng Memorial) ที่หน้าตา เหมือนเก๋งจีนมีหลังคา 3 ชั้น เรื่องมีอยู่ว่าลิมโบเส็ง เป็นพ่อค้าเชื้อสายจีนในสิงคโปร์ ที่มีฐานะร่ำรวย ทว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาได้เรี่ยไรเงินจากชาวเมืองเพื่อเป็น ทุนต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น ทำให้พี่ยุ่นตามตัวเขา เขาลี้ภัยไปเข้ากับอังกฤษและ ได้ฝึกวิชา ทหารที่อินเดีย ก่อนถูกส่งมาหาข่าวในมาเลเซีย แต่เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1944 เขาถูก ทัพญี่ปุ่นจับได้ หลังจากถูกกักขังและทรมานราว 3เดือนเขาก็เสียชีวิตลง หลังจากนั้นจึง ได้สร้างอนุสาวรีย์นี้เพื่อรำลึกถึงความกล้าหาญของเขา
เอ๊ะ...ทำไมจู่ๆ อนุสาวรีย์หลังๆ เริ่มไล่มากถึงเรื่องสงครามนะ ดูเหมือนประวัติ ศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของสิงคโปร์ที่ทุกคนไม่ค่อยทราบ คือช่วงเวลาสงครามโลกครั้งที่ 2 (สำหรับบ้านเรามี”โกโบลิ ฮิเดโกะ” ให้รำลึกถึงสงครามในแง่มุมโรแมนติคและเรื่องเสรี- ไทยอันแสนภาคภูมิ)  “ลิมโบเส็ง” เป็นเรื่องราวหนึ่งในยุคสมัยนั้นและสถานที่ต่อไปที่ผม สามารถ มองเห็นได้แต่ไกลจากมุมนี้ คงเป็นตัวเล่าเหตุการณ์ในคราวนั้นได้ เป็นอย่างดี
            สิ้นสุดพื้นที่สวนเอสพละนาส ก็เดินข้ามถนนใหญ่สัก 2-­3 ที (ไม่แน่ใจว่ากี่ที เพราะเดินข้ามไป ข้ามมา งงทางอยู่นิดหน่อย และไม่ข้ามทางม้าลาย และฝ่าไฟเขียว ด้วย) เดินมาอีกสักพักก็เจอลานกว้างขนาดใหญ่ มีบ่อน้ำพุอยู่ตรงกลางลาน และเกาะ สี่เหลี่ยมกลางบ่อน้ำพุนั้นมีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ ลักษณะเป็นเสาสูงสี่ต้นตั้งประกบกัน


          
            Civilian War Memorial
            อนุสาวรีย์นี้สร้างเพื่อรำลึกถึงผู้พลีชีพในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อคราวที่ ญี่ปุ่นทำการยึดครองสิงคโปร์ ตัวอนุสาวรีย์สูง 68 เมตร และเสาทั้ง 4 ต้น ก็แทนความ โศกเศร้าของทั้ง 4 ชนชาติหลักของสิงคโปร์
            ดูเหมือนนอกจากประวัติศาสตร์ของชาวเอเชียตะวันอกเฉียงใต้จะมีความคล้ายกันในยุคยุโรปล่าอนาณิคมแล้ว  สมัยสงครามโลกญี่ปุ่นเพื่อนบ้านชาวเอเชียก็สร้าง ประวัติศาสตร์เอาไว้ไม่น้อย  และสำหรับชาวแดนสิงโต ดูจะเป็นสิ่งที่ “ลืมไม่ลง”
            “ครานั้น ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 (ย้อนอดีตอีกตามเคย)
            สิงคโปร์ยังคงเติบโตทางเศรษฐกิจต่อเนื่องแม้จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะภูมิภาคเอเชีนตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก (สมัยรัชกาลที่ 4 สยามเคยส่งทหารไปร่วมรบกับฝรั่งเศสด้วย ก็เท่านั้น)  และในปี ค.ศ. 1939 อังกฤษได้ สร้างสิงคโปร์เป็นฐานทัพเรืออังกฤษ สามารถรองรับเชื้อเพลิงสำหรับกองทัพราชนาวี อังกฤษได้นานถึง 6 เดือน และกล่าวได้ว่า สิงคโปร์เป็นอู่เรือที่ใหญ่ที่สุดใน ภูมิภาค เป็นอู่ลอยน้ำที่ใหญ่เป็นอับดับ 3 ของโลกในยุคนั้น ถือว่าเป็นศูนย์กลางการค้าและกอง กำลัง ทางเรือของอังกฤษในภูมิภาคนี้ เป็นเสมือนปราการของดินแดนต่างๆ ในเครือจักรภพอังกฤษ เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่แปลกเลยที่ญี่ปุ่น ผู้มุ่งทำลายฝั่งฐานกำลังพันธมิตรจะมุ่งโจมตี “สิงคโปร์” ในครั้งนั้นด้วยปฏิบัติการแบบ “สายฟ้าแลบ”
             หลังเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ถูกโจมตีในวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ.1941 กองกำลัง จักรพรรดิ์ ญี่ปุ่นก็ระดมยกพลขึ้นบกทางคาบสมุทรทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พร้อม กับเข้า บุกฮ่องกง ญี่ปุ่นขึ้นบกที่สงขลาของไทย และเคลื่อนพลลงใต้สู่เคดะห์ อย่างรวด เร็ว เพียง 48 ชั่วโมงหลังเหตุการ์เพิร์ล ฮาร์เบอร์ก็สามารถจมเรือรบ ปริ๊นส์ ออฟ เวลส์ (Print Of Wells) และ รีพัลส์ (Repulse)ของอังกฤษที่ประจำ การอยู่ในคาบสมุทร มาลายูได้ ขณะนั้นเองกองทัพของประเทศ ในเครือจักรภพอังกฤษก็ ถูกโจมตีอย่างหนัก และถูกบีบให้ถอยร่นลงใต้ของคาบสมุทรมาลายู  ญี่ปุ่นสามารถยึดครองกัวลาลัมเปอร์ ได้
            ขณะนั้นอังกฤษคาดหมายว่าญี่ปุ่นคงจะยกพลขึ้นบกทางทะเลแน่นอนจึงระดมป้องกันตามริมชายหาดทะเล ใช้ลวดหนามขึ้งไว้หลายชั้นเรียงว่าพร้อมตลอดแนว แต่ที่ไหนได้ ตอนนั้น “นายพลยามาชิตะ” ผู้ได้รับ สมญานามว่า “เสือแห่งมาลาย” (Tiger of Malaya) ญี่ปุ่นได้คืบคลานเข้ายึดยะโฮร์ซึ่งมีเส้นทางเชื่อมสู่สิงคโปร์ และวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942 (ตรงกับ พ.ศ. 2485)  กองทัพพี่ยุ่นก็สามารถเดินเฉิบๆ เข้ามาในสิงคโปร์ทางเหนือได้แบบเนียนๆ  ตรงถนนเชื่อม ระหว่างมาเลเซียและสิงคโปร์ นั่นเอง  และในที่สุดก็สุดพี่ญี่ก็สามารถควบคุม ฐานทัพเรือและสนามบินในเครือจักรภพ อังกฤษได้อย่างรวดเร็ว โดยหลังจากต่อสู้กัน อย่าหนักหน่วงอังกฤษยอมแพ้และญี่ปุ่น สามารถยึดสิงคโปร์ได้ ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1942  (ใช้เวลาแค่ 8 วันเท่านั้น)
            8 วันมหัศจรรย์แห่งการยึดแดนสิงโตของกองทัพปลาดิบนั้น ว่ากันว่าเป็น กลยุทธ์ “สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่าน้ำ”
สิงคโปร์เป็นประเทศที่ไม่มีแหล้งน้ำจืดของตัวเอง แม่น้ำก็เป็นสายสั้นๆ เล็กๆ ล่องน้ำตื้นและเพราะที่จะไหลออกสู่ทะเลสิงคโปร์จึงจำเป็นต้องพึ่งพาน้ำจืดจากมาเลเซีย โดยจะส่งน้ำตามท่อตรงถนนที่เชื่อมต่อระหว่าง 2 ประเทศ ญี่ปุ่นรู้ข้อจำกัดเรื่องนี้ดี ก่อนบุกสิงคโปร์ พี่ยุ่นก็ปิดท่อส่งน้ำจืดที่เมืองยะโฮร์ และเมืองบาห์รูเสีย แค่นี้พลเมือง ก็อดน้ำเดือดร้อนกันพล่านทั้งเมือง
            2 วันหลังจากยึดสิงคโปร์ได้สำหรับ กองทัพพี่ยุ่นก็จับชาวอังกฤษ และชาว ยุโรปอื่นๆ 3,400 คนไปขังไว้ที่คุกชางงิ แยกขังไว้เป็นกลุ่มๆ แยกชายหญิง แต่เด็กๆ ขังรวมไว้กับผู้หญิง ความเป็นอยู่จึงแออัด ชาวอังกฤษถูกทรมานในคุกนั้นกว่า 2 ปี ต่อมาก็ย้ายไปกักกันไว้ที่ค่ายไซม์โรด เพื่อเอาเชยลสงครามกว่า 12,000 คนมาขังแทน
            ญี่ปุ่นสร้างความเจ็บช้ำให้กับสิงคโปร์มากมาย ตั้งแต่การลบชื่อสิงคโปร์ออก ไปจากแผนที่โลก โดยตั้งชื่อเกาะใหม่ว่า “โชนัน” แปลว่า “แสงสว่างแห่งทิศใต้” ถนนต่างๆ ญี่ปุ่นก็จับเปลี่ยนชื่อใหม่หมด  ล้มล้างระบบการปกครองเดิมจนสิ้น และสิ่งที่ ลืมไม่ลงคือวีรกรรมที่ทหารญี่ปุ่นทารุณกรรมพลเมืองอย่างโหดร้าย ผู้คนนับพันถูกฆ่า เชลยถูกทรมาน ผู้หญิงถูกทหารทำมิดีมิร้ายราวกับเป็นของเล่น และได้ยึดทรัพย์สมบัติ คนจีนทั่วสิงคโปร์จนหมด
            ญี่ปุ่นได้ใช้ปฏิบัติการ “ซุคชิง” (Suk Ching) โดยบังคับให้ชายชาวจีนใน สิงคโปร์เข้ารายงานตัวเพื่อคัดกรองค้นหาชาวจีนผู้อาจจะต่อต้านญี่ปุ่นหรืออาจเป็นผู้อยู่พรรคแนวร่วมคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเกณฑ์การคัดกรองก็แสนจะมีมาตรฐาน เช่น ผู้ที่ใส่ แว่นตาเป็นผู้มีการศึกษา ดังนั้นจึงเป็นพวกต่อต้านญี่ปุ่น หรือผู้ที่ฝ่ามือนุ่มคือพวกที่มี การศึกษาฐานะดี เป็นพวกนิยมอังกฤษ แน่นอนบุคคลเหล่านั้นถูกนำไปสังหารหมู่ ว่ากัน ว่าปฏิบัติการนี้คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 50,000 คน
            หนึ่งในผู้คนยุคนั้นสามารถหนีรอดจากการสังหารหมู่ และได้พบเจอเรื่องราว อันโหดร้ายในยุคนั้น คือ “ลี กวน ยู” รัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ผู้เปลี่ยนสิงคโปร์ ไปตลอดกาล ในยุคปัจจุบัน
สามปีที่ญี่ปุ่นครองครองโชนันไม่ได้ทำให้ชาวสิงคโปร์อยู่สุขสบายเหมือนสมัยอังกฤษปกครอง โชนันเป็นดินแดนอันแล้นแค้นที่สุดทั้งสภาพจิตใจ และสภาพความ เป็นอยู่ ยิ่งเฉพาะตอนปลายสงครามที่แสนจะอดอยากอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ผู้คนนอนตายข้างถนนไม่เว้นแต่ละวันเพราะไม่มีอะไรจะกิน ญี่ปุ่นเร่งระดมคนปลูกมัน สำปะหลังกินแทนข้าว แต่กินไปนานๆ ผู้คนก็เกิดโรคบวมปูดตามเนื้อตัว บางคนมีอาการ คล้ายเหน็บชาเพราะกินมันสำปะหลังมากเกินไป
คงทราบกันดีว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงเมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้หลัง จากฝ่าย สัมพันธมิตรทิ้ง Light Boy” ปรมาณูลูกเล็กที่ล้างเมืองฮิโรชิมาให้ราบเรียบได้ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1945 และเมืองนางาซากิเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ปีเดียวกัน  โชนันถึง คราวล่มสลายลงตาม ทหารญี่ปุ่นบางส่วนถูกควบคุมตัว บางส่วนยอมปลิดชีวิตตัวเอง มากกว่าถูกจับให้เสียเกียรติ และในวันที่ 12 กันยายน นายทหารชั้นสูงขององค์ จักรพรรดิ์ญี่ปุ่นและนายทหารแห่งราชอาณาจักรมีพิธีลงนามสัญญายอมปราชัยของญี่ปุ่นที่ศาลาว่าการเมืองสิงคโปร์”

ผมเดินเข้ามาด้านในใจกลางเสาทั้ง 4 ต้น พื้นที่โล่งเล็กๆ ตรงกลางนี้ สร้าง เป็นแท่นเล็กๆ และมีแจกันหินสีดำ ประดับหัวสิงโตตั้งอยู่ มีอักษรจีนสลักอยู่ที่แท่นนั้นซึ่งผมถอดรหัสไม่ออก  ส่วนด้านในเสาทั้งสี่ต้น มีแผ่นหินสลักวัตถุประสงค์ของอนุสาวรีย์ นี้ไว้เสาละ 1 ภาษา และทุกๆ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ สถานที่แห่งนี้จะมีการจัดงานเพื่อ ระลึกถึงผู้เสียชีวิตในครั้งนั้น
            ท้องฟ้าวันนี้ดูขมุกขมอม ไม่มีแดดจัด แต่อบอ้าวเหมือนอมฝนไว้ การยืนแหงน มองอนุสาวรีย์ที่แทงขึ้นบนท้องฟ้ายามนี้  ให้ความรู้สึกเหมือนฟ้ากำลังเบะปากเตรียม จะร้องไห้ พลอยส่งให้บรรยากาศรอบๆ ดูเศร้าไปนิดหน่อย แต่ดูเหมือนผมจะรู้สึกมโน ดราม่า ไปคนเดียว เพราะรอบๆ อนุสาวรีย์ที่ตกแต่งเป็นส่วนเล็กๆ  นี้ก็มีคนจำนวนไม่ น้อยที่ใช้ที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อน
แม้สิงคโปร์จะมีพื้นที่เล็กๆ เท่ากับเกาะภูเก็ต แต่สิ่งไหนที่เขาเห็นว่าสำคัญ ดูเหมือนก็ยอมที่จะเสียพื้นที่สร้างมันขึ้นมา และใช้ให้คุ้มที่สุดแค่พื้นที่สวนเล็กๆ ที่เดินผ่านไม่กี่นาทีนี้ ก็บรรจุเรื่องราวประวัติศาสตร์ไว้มากมาย ยังนึกเสียดายที่พ่อแม่ และพี่ชายไม่ได้มาเห็นด้วยตา ไม่งั้นผมจะเล่าให้ฟังอย่างสนุก เอาให้คุ้มทีเดียว










ความคิดเห็น

  1. สนุกมากเลยครับ ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ทำให้เมืองเล็กๆนี้ มีเสน่ห์ขึ้นมาก, จากที่ผมไม่เคยคิดว่าสิงคโปร์จะมีอะไรน่าสนใจ นอกจากคาสิโน จนตอนนี้ อยากจัดเวลาไปดื่มด่ำกลิ่นอายประวัติศาสตร์เมืองแห่งสิงโตทะเลแล้วล่ะครับ ^ ^

    ปล. อยากให้ช่วยเช็คการสะกดบางคำหน่อยครับ จะทำให้บทความดูดีขึ้นมาทันที เช่น คำว่า "แร้นแค้น"

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เรื่องย่อ “Frozen” (Disney's) โฟรเซ่น - ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ” : จากมุมมองของผม หลังชม (review)

สไปร์ท ฮอร์โมน : ซ่าๆ ใสๆ (กินสไปร์ท ต้องใส่ถุง) : (Hormones วัยว้าวุ่น เดอะซีรีย์)

เต้ย ฮอร์โมน : ตำนานแห่งดอกกุหลาบที่ถูกสาป (Hormones วัยว้าวุ่น เดอะซีรีย์)