รีวิว รักเธอเสมอ เดอะมิวสิคัล : อีเว้นท์ที่ดีนะ!!!

Juxebox Musical หรือพูดง่ายๆ คือละครเพลงที่ดึงเอาเพลงที่มีอยู่แล้วมาใช้ในละคร ส่วนมากละคร 1 เรื่องก็มีแกนในการใช้เพลง 1 อย่าง เช่น Mamamia! ใช้เพลงของ ABBA เร่ขายฝัน ใช้เพลงของ เฉลียง และ ลมหายใจ ใช้เพลงที่แต่งโดย บอยด์ โก
ขึ้นชื่อว่าละคร Juxebox Musical ก็มักทำให้คนหันมาสนใจได้ไม่ยาก เพราะเพลงที่ดังอยู่ในความทรงจำอยู่แล้ว แค่คนดูเห็นนักแสดง หรือกลิ่นไอเล็กน้อย ก็น่าจะทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ไม่น่าแปลกที่ “รักเธอเสมอ เดอะมิวสิคัล” ละครเพลง ใช้เพลงคุณดี้ นิติพงษ์ กลายเป็นกระแสได้ไม่ยากนัก

รักเธอเสมอ เดอะมิวสิคัล ผลิตโดย เจ้าพ่องานอีเว้นท์ คือ “INDEX” คนในวงการโฆษณา การตลาด สื่อสารการตลาด มักคุ้นชินในชื่อเสียง และฝีมือ ส่วนประชาชนทั่วไปคนงงว่า บริษัทอะไรหว่าไม่เคยได้ยิน แต่เชื่อเถอะ คุณเคยไปงานอีเว้นท์เขามาก่อนแล้วล่ะ

และต่อจากนี้ จะเป็นการวิพากษ์ ซึ่งเป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ.... และขอแสดงเจตจำนงค์เลยว่า ผมติเพื่อก่อครับ อยากให้คนไทยมีละครเพลงดีดี ดูอย่างต่อเนื่อง และหลากหลาย เอาล่ะ เริ่มเลย

อย่างไรกับเพลง ?

เพลงของคุณดี้ มักเป็นเพลงที่ “บอกหมด” อาจไม่ได้มีช่องว่างให้คนได้ตีความเพิ่มเติมมากกว่าที่เนื้อเพลงบอก แต่มีจุดเด่นมากๆ คือคำที่โดนใจ และการเข้าถึงอารมณ์ ..... แต่น่าผิดหวังบนเวทีละคร เพราะว่าทีมงานไม่ได้ตีความเพลงของคุณดี้ ให้มีมิติที่แตกต่าง ทำให้เพลงของคุณดี้ในละครเรื่องนี้ทำหน้าที่แค่ บอกอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร แต่ไม่ได้ใช้เพลงในการดำเนินเรื่องอย่างที่ละครเพลงที่ดีควรใช้เพลงอย่างฉลาด การเรียบเรียงดนตรีไม่ได้แตกต่างจากฐานของเพลงป๊อปยิ่งส่งให้เพลง Drop เพราะว่าไม่หลุดออกไปจากเวอร์ชั่นที่อยู่ใน CD
อ่อ.... อีกเรื่องคือการใช้เพลงที่นอกจากจะไม่ค่อยดำเนินเรื่อง บางเพลงยังหยิบเอามาร้องทั้งเพลง ไม่มีการคัดท่อนที่สำคัญมาใช้ ทำให้ละครย้วย แล้วบอกส่วนยังหยิบเพลงที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องอีก เช่นเพลงบุษบา เสียงกระซิบ ใส่มาทำไม ทำให้รู้สึกเหมือนดู Concert เลย.... เฝือจะแย่

อย่างไรกับเนื้อเรื่อง ?
ที่ผมผิดหวังที่สุด ก็คงเป็นเนื้อเรื่อง เพราะไม่มีอะไรใหม่ เดิมๆ น้ำเน่า และไร้เหตุผล... ถ้าให้พูดจริงๆ ต้องบอกว่าเนื้อเรื่องเดียวกับ ลมหายใจ เดอะมิวสิคัล และซ้ำร้าย ตัวละครก็ยังเหมือนกันแบบ Apple to Apple….. ซึ่งถ้าทำได้ดีกว่า ก็ไม่ว่าเหรอก แต่ทำทีหลังแล้วทำได้แย่กว่า แบนกว่านี่สิ... มันเลยทำให้ละครไม่น่าสนใจเลย.... คนดูไม่มีความรู้สึกร่วม ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ ไม่อะไรสักอย่างกับละครเรื่องนี้....
จริงๆ แล้วธีมละครเรื่องนี้มันดีมากนะ ที่ผมเข้าใจคือ ละครกำลังบอกว่า “จงดูแล คนที่ดูแลเถอะ” แต่ขอโทษกว่าจะเข้าใจจนกลับถึงบ้านแล้วนั่นแหละ เพราะละครมันไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการผลักดัน Message นี้.... ซึ่งหน้าที่เบื้องต้นของละครเพลง มันคือการ ส่ง Message หนึ่งมายังคนดู ไม่ใช่หรอวะ.....
หรือผมเข้าใจอะไรผิด

อย่างไรกับบท ?
บทละครเวทีที่ดีมักมี บทพูดที่เข้มข้น สื่อสารอารมณ์ได้ เป็นถ้อยคำที่คัดสรรมาแล้วว่า ต้องสื่อสารให้คนดูรู้เรื่องและเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครให้ลึกที่สุด ภายในระยะเวลาอันนั้น... แต่ละครเรื่องนี้ ใช้คำพูดยืดยาว ไม่มีน้ำหนัก ไม่กระชับ ตามแนวละครโทรทัศน์ ทำให้ละครเรื่องนี้ เหมือนตัวละครออกมาพูดกันเนือยๆ เหมือนพูดปกติ ซึ่งผลที่ได้คือ อารมณ์ความรู้สึกของคนดูคือ แค่ดูรู้เรื่องแต่ไม่รู้สึก.... เพราะว่ามันบทพูดมันไม่คม ไม่เน้น ไม่ทิ่มเข้าไปในหัวใจ.....ยกข้อความทั้งย่อหน้า
ท้าเลยว่า...คนดูจะประโยคไหน หรือชอบประโยคไหน จากละครเรื่องนี้ได้บ้าง.....
และที่แย่กว่านั้น บทไม่ได้ให้ความสำคัญกับความลึกของตัวละคร จู่ก็ปั้นว่า คนนั้นรักคนนี้ คนนี้แอบรักคนนั้น คู่นั้นรักกันมานาน คนนี้กีดกันคนนั้น โดยไม่บอกเลยว่า เพราะอะไร ทำไม นานเท่าไหร่ ปมของตัวละครแต่ละตัวคืออะไร ตัวละครที่ตื่นเขิน ทำให้ละครเวทีเกือบ 3 ชั่วโมงนั้นเราไม่ได้รู้จักตัวละครอะไรเลย

อย่างไรกับนักแสดง ?
นักแสดงค่อนข้างหน้าใหม่มาก กับละครเพลงแนวเข้มข้นแบบนี้... ต้องยอมรับเรื่องเสียงร้องของทุกคนล่ะว่าไม่น่าห่วง เรื่องการแสดงถือว่าทำได้ในระดับดีนะครับ เพราะบทมันแบนๆ ส่งให้เท่านั้นจริงๆ จะให้นักแสดงลึกไปกว่าบทได้ไงล่ะจ๊ะ...
สงสารอยู่อย่างนึง ที่นักแสดงยังมีพลังไม่พอในการเอาเวทีอยู่ เพราะเวทีศูนย์วัฒนธรรมนั้นกว้างมาก และผู้ชมก็มีตั้ง 3ชั้น.....แต่ถือว่านักแสดงอึดมากนะครับ ที่แสดงจนรอ
ดแบบพลังไม่มอดเลย

อย่างไรกับเสื้อผ้า ?
เสื้อผ้าก็อยู่ระดับพึงพอใจนะครับ ด้วยเนื้อเรื่องมันถูกสร้างให้จริง เสื้อผ้าก็เลยทำได้แค่จริง เป็นเสื้อผ้าทีเราใส่ๆ กันในชีวิตประจำวันเนี่ยแหละ...เลยไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่...
มีสิ่งนึงคาใจ... เพราะเห็นเสื้อผ้าโทนสีฟ้าบนเวทีหนาตามาก ตัวหลักๆ คงเป็นพัดชานี่แหละที่ชอบสวนสีฟ้า แต่บางฉากก็สวมเสื้อโทนฟ้ากันไปหมด ไม่แน่ใจว่า เอาใจ Sponsor อย่างไทยประกันชีวิต หรือไม่?



อย่างไรกับฉาก ?
ฉากมีความตื่นตาตื่นใจนะครับ ตั้งแต่ฉากแรกเปิดเรื่อง ที่นิวยอร์ค ลานไอซ์สเก็ทหน้าตึกล็อคกี้ เฟลเลอร์ โดดเด่นด้วยรูปปั้นสีทอง ...... ตามด้วยฉาก Zoom in คนเพลิงของเทพีเสรีภาพ... สามารถทำให้คนหวือหวาฮือฮาได้ เป็นน้ำจิ้มของละครเรื่องนี้... ส่วนฉากอื่นๆ ก็เน้นสมจริง ซะจนเป็นฉากธรรมดาเกินไป เช่นบ้านของพัดชา บ้านของกอล์ฟ หรือโรงแรม

การที่ index เป็นบริษัท อีเว้นท์เลยยึดติดกับความหวือหวา เลยใช้Projector สกรีน และจอLED เป็นฉากหลังซะเยอะ ซึ่งก็ไม่ผิดหรอกครับ ได้ฉากที่สวยสมใจ แต่การใช้ของเรื่องนี้ไม่ได้ใช้แตกต่างไปจากงานอีเว้นท์ ถ้าตีความหรือออกแบบทำการบ้านหนักนิดนึงก็จะดีนะครับ ถ้าจะทำ ทำให้ดีเท่า Ghost Musical นะครับ
สิ่งที่ต้องชม คือการประสานงานฉากนะครับ เพราะว่าเท่าที่ดู การควบคุมฉากมี หลาย Layer ที่ซับซ้อน... และทำได้ดีสอดรับกับ บางฉากจัดหนัก ทั้งฉากลงจากด้านบน(1) ฉากมาจากข้างเวที(2) อุปกรณ์ประกอบฉากผุดขึ้นมาจากล่างเวที(3) ควบคู่กับการใช้จอ การใช้ Projector และเทคนิคอื่นๆ อยู่ เข้าใจเลยว่ายาก ขอชื่นชมครับ

การไปมาของฉากดูเหมือนไม่มีปัญหานะครับ...แต่ดูเหมือนแอบใช้คนดึงเข้าดันออก ซึ่งทำให้คนดูเห็นจะจะ แบบไม่เนียนตาทำให้คนดูเอาสติไปสนใจคนเปลี่ยนฉากซะงั้น ละครเวทีไม่ได้ห้ามใก้เปลี่ยนฉากด้วยคนหลอกทำ แต่ทำอย่างไรให้มันไม่สะดุดมากกว่า ที่ต้องใช้เวลาออกแบบกันสักหน่อยนะครับ

อย่างไรก็รูปแบบการนำเสนอ ?
ขอตำหนิ ประณาม ปราม และลงโทษ รูปแบบการนำเสนอครับ มนตร์ของละครเวทีคือการพลังแห่งการสื่อสารของนักแสดงที่รู้สึก ตีความ และส่งต่อไปถึงคนดูอย่างต่อเนื่องตั้งแต่แรกจนจบ แต่ index เลือกให้น้ำหนักกับ “ขยะ” ของละครมาเป็นพระเอก คือการดึงฉากลงบ่อยๆ แล้วยิง Presentation ไร้สาระมากมายคั่นฉาก ไอ้เจ้า Presentation ก็นาน ยึดย้วย
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยเล่าเรื่องด้วย ไม่มีผลกับเนื้อเรื่องเลย ตัดออกได้ แต่เลือกที่ใส่มา ทำให้ละครมี “มะเร็งทั้งเรื่อง”

ข้อเสียอย่างมากที่สุด คือการใช้เทคนิค ฉายภาพ Close Up หน้านักแสดงลงบนฉาก ช่วงที่ร้องเพลง เช่น เพลง อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ ที่แหวนและกอล์ฟ ร้องปะทะกันบนเวที ที่เสื่อมเพราะ 1.เข้าใจเสียด้วยว่า หัวใจหลักของละครมันคือความสด ไม่ใช่มาวิดีโอลิปซิงค์ 2. มันเป็นขยะทางสายตา... ละครเวทีคนดูมักเลือกมองได้เองทั้งเวทีผู้สร้างควรทำให้คนดู Focus ในบางจุด แต่ฉากนี้ ผู้สร้างเลือกให้แหวนและกอล์ฟร้องเพลงคนละฟากของเวที เท่ากับสร้างจุดให้คนมอง 2 จุดแล้ว ซึ่งกำลังดี แต่ทีมงานใส่ขยะไปอีก 2 จุดบนฉาก ทำให้คนต้องวอกแวกกับ 4 จุดบนเวที แล้วให้คนดู Focus ที่ไหนดี

ขอด่าจริงๆ เพราะไม่พอมาก ละครเรื่องนี้น่าจะจบลงอย่าง Happyending ในฉากนับถอยหลัง ซึ่งเนื้อเรื่องมันจบลงจริงๆ ตรงนั้น แต่แล้ว อยู่ๆทีมงานก็เอาจอลง แล้วก็มีหนังสิ้นไร้สาระต่อท้าย ด้วยบทเหลวแหลก ไก่กา ขาดมิติ ไม่จบไม่สิ้น แล้วหนังสั้นนั่นก็ออกจานาน และทำลายสิ่งที่แสดงมาทั้งหมด....มันฆ่า การแสดงบนเวทีซะปนปี้...
แล้วอยากให้ทีมงานผู้สร้าง นั่งนึกใหม่ว่าคุณทำละครเวทีใช่ไหม คุณเข้าใจคำว่าละครเวทีดีแค่ไหน หรือคุณไม่เข้าใจเลยเป็นเพียงผู้ฉกฉวยโอกาสและกระแสละครเวทีเพื่อหาเงิน
อย่างไรก็ภาพรวม ?

สั้นมากครับ รักเธอเสมอ เป็นโชว์ที่น่าพึงพอใจ แต่ไม่ใช่ละครที่ดี (ไม่ทั้งสร้างความประทับใจ ไม่ทั้งให้สิ่งใหม่กับคนดู ไม่ทั้งประเทืองปัญญาผู้ชม และไม่ทั้งเข้าใจความเป็นละครเวที)

อย่างไรกับการเต้น ?
มีครบการเต้นแบบบอร์ดเวย์มิวสิคัล แต่ไม่เข้ากับละครเลย... ยังกับดูงาน Grand Opening สินค้า + ดูหรีดจุฬาธรรมศาสตร์เต้น เพราะท่าเต้นมีความละเอียดเกินไป ไม่ใช่ท่าเต้นที่เหมาะกับละครเวที อีกทั้งไม่สื่อความหมายที่ให้คุณค่ากับละคร ลักษณะเป็นการเต้นทุกคนเหมือนพวก K POP แต่องค์รวมไม่ได้มีความหมายอะไรนอกจากการขยับร่างกาย ท่าเต้นก็ไม่มีอะไรใหม่ เพราะมันคือสิ่งที่เราเห็นๆ จากรายการของไก่ วรายุทธ และจะ Dance กันทุกฉากไปทำไม จากที่ละครเพลง Dance จะเลือกใช้เฉพาะช่วงสำคัญแต่กลับเปลือง เปราะ ไร้คุณค่าราวกับทิชชู่.... ผมมาดูละครนะครับ ไม่ใช่งานอีเว้นท์เต้นเปิดตัวสินค้าหน้าเวที

อย่างไรกับอื่นๆ ?
ละครเวทีคือละคร ธุรกิจก็คือธุรกิจ คุณทำละครให้เป็นธุรกิจได้ ... แต่อย่าเอาธุรกิจมาใส่ไว้ในละคร มันทุเรศ ดูถูกคนดูและเสื่อม มีอยู่ฉากหนึ่งที่ฉากหลังเปลี่ยนเป็นตึกและมีโลโก้ประกันชีวิตเจ้าหนึ่งยาวครึ่งหนึ่งของเวที ค้างฉากนั้นนานมาก และตัวละครก็เล่นมุกเกี่ยวกับเคลมประกัน..... มันเป็นการดูถูกคนดูมาก คนดูซื้อบัตรมาเป็นพันๆ ไม่ใช่มาดูโฆษณา แต่เขามาหาความบันเทิง มาหา Message ใหม่ๆ มาประเทืองปัญญา คุณอย่างเอาเรื่องธุรกิจมาให้ละครเวทีสกปรก....
ผมไม่ได้ตำหนิ Sponsor หรอก แต่ตำหนิความเบาปัญญาของทีมผู้สร้างมากกว่า เพราะมันเป็นความคิดที่สกปรก
อีกอย่างหนึ่งที่คงเกิดจากความอ่อนด้อยประสบการณ์ คือการเอานักดนตรีไว้ด้านข้างขวาเวที แล้วเปิดไฟสว่างโร่ อีกทั้งด้านซ้านของเวทีก็มีจอสว่างวาบจับหน้าคอนดักเตอร์ สิ่งเหล่านี้ สร้างความก่อกวนสมาธิของคนดูอย่างมาก... มันมีอะไรยึกยักตรงหางตา 2 ข้างตลอดเวลา... การดูละครเวทีนั้น คนดูจะอยู่ในโลกของเขา ที่นั่งของเขา ใช้สมาธิ จดจ่อกับการแสดง ไม่ใช่การคอนดักวงดนตรี หรือช่วงเปิดโน๊ตเพลงของนักดนตรี

ให้คะแนนอย่างไร ?
Index สามารถทำ อีเว้นท์ระดับโลกได้อย่างน่าประทับใจก็จริง แต่กับสิ่งใหม่คือละครเพลงนั้น... ยังขาดความเข้าใจจิตวิญญาณ ดังนั้น คะแนนก็คงให้แค่เปลือกๆ ตามคุณภาพ นั่นคือ 4 เต็ม 10 และแนะนำทุกท่านว่าที่จะไปดูว่า หากว่างๆ ดูเพลินๆ ก็โอเคครับ แต่จะดูเอาศิลปะ เอาประเทิงปัญญา ก็ไม่ได้ต้องไปครับ

สุดท้าย ผมก็พยายามใหเทุกคนไปดูนะครับ ให้กำล้งใจผู้สร้างหน้าใหม่บ้าง
และนี่คือ 1 นาทีสั้นๆ ที่เกิดขึ้นบนเวที เป็น Miniconcert หลัง Curtain Call ตามแบบฉบับของ JuxeboxMusical

http://www.youtube.com/watch?v=HaSgKBwBt_A">


สำหรับวันนี้ลาไปก่อน สวัสดีเด้อ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เรื่องย่อ “Frozen” (Disney's) โฟรเซ่น - ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ” : จากมุมมองของผม หลังชม (review)

สไปร์ท ฮอร์โมน : ซ่าๆ ใสๆ (กินสไปร์ท ต้องใส่ถุง) : (Hormones วัยว้าวุ่น เดอะซีรีย์)

เต้ย ฮอร์โมน : ตำนานแห่งดอกกุหลาบที่ถูกสาป (Hormones วัยว้าวุ่น เดอะซีรีย์)