นิยายเที่ยวสิงคโปร์ : Chapter 17 _Day3 : เขา (ซิงกะโปโล : Singapolo)
หากวัตถุประสงค์แรกของทริปนี้คือการหนีออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปต่างประเทศคนเดียว
ทริปแรกของผม เพื่อย้อนเวลาตามหาและแก้ไขสิ่งที่คาใจในอดีต เช้าวันที่
3 นี้
ผมคงพูดได้เต็มปากว่าทำแบบนั้นจริงๆ
เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่ผมอยู่แบบไม่รู้จักใครในสิงคโปร์
และในทางกลับกัน ไม่มีใครรู้จักผม ...นุ๊กคงกำลังเดินทางหรือถึง สนามบิน ชางงีแล้ว
แล้วบ่ายนี้พี่โทพี่เอส คงตามไปเช่นกัน... เช้าที่นี้ยิ่งดูดราม่าเข้าไปอีกเมื่อฟ้าครึ้มตั้งเค้า
ฝนจะตกมิตกแหล่
พอรู้ว่าจะจากกันก็ใจหาย... (ซึ่งจะใจหายทำไม กลับกรุงเทพ
ก็ได้เจอ...) เมื่อคืนตอนที่พี่โทให้บัตรเติมเงิน Kopitiam มาผมถามว่าพี่โทชอบกิน
อะไร ในร้าน ซึ่งได้คำตอบว่าเป็น “เซ็ทอาหารเช้า” น่าแปลกที่การมาสิงคโปร์ทั้ง
2 ครั้งของผม
ไม่เคยที่จะสนใจร้าน “อาแปะ” กับเซ็ทอาหารเช้าที่คนมุงกันเยอะๆ เลย...
เช้านี้ผมเลย ตั้งใจจะลองสักครั้ง (ซึ่งเป็นเซ็ทที่ไม่คิดจะกินเลย
เพราะมันเบสิคมากๆ ให้ตายเถอะ)
เซ็ทอาหารเช้าที่นี่ไม่แพงเลยครับแค่ S$2.95 (ประมาณ 74 บาท) แล้วมันก็พิเศมากกว่าที่คิด คือเขาจะปรุงกันสดๆ
เลย ตรงเค้าเตอร์ที่เป็นครัวเปิด ผมสั่งชุดที่มีไส้กรอก 2 ชิ้น ไข่คน
1 แหมะ ขนมปังปิ้ง และเลือกเครื่องดื่มเป็นชาร้อน....
ผมว่าเอกลักษณ์ของอาหารจานนี้คือขนมปังครับ เห็นตอนที่ทำคุณลุงเขาทา
อะไรบางอย่างที่ขนมปัง ก่อนเอาไปปิ้งและประกบอีกชิ้นก่อนเสิร์ฟ ทีแรกผมนึกว่าเป็น
“ขนมปังทาเนยปิ้ง” พอรับจานมาแหวกดูขนมปัง ก็งงๆ ว่าทำไมเนยสีเขียวๆ แถมมีกลิ่น หวานๆ
พอลองกินเข้าไปถึงรู้ว่าเป็น “สังขยา” ไม่ค่อยเขากับไว้กรอกและไข่คนเท่าไหร่ หวาน แต่ก็เข้ากับชาร้อน
แบบเข้าคู่ตุนาหงันสุดๆ ...และแน่นอนเอกลักษณ์ของจานนี้ ที่ทุกคน เจอ ก็คือ.....
“พี่แกเล่นเสิร์ฟชา
(หรือกาแฟ) ซะล้นแก้ว.....เจิ่งนอนจานรองไปหมด”
แวบแรกที่เห็นอาหารจานแนะนำของพี่โท
นึกว่าจะอิ่มยาไส้ไหมเนี่ย แต่พอ ค่อยๆ ละเลียดกินปรากฏอิ่มแน่นเลย
มั่นใจว่าการเดิน “ป่า” วันนี้มีแรงพอแน่นอน
ได้ยินไม่ผิดหรอกครับ
สิงคโปร์มีป่าให้เราเดินด้วย เป็นป่าเขาลำเนาไพรด้วย!
และยังจำกันได้ไหมครับ เมื่อวานที่ City Gallery ผมเกริ่นถึงสะพานเชื่อมเขาที่ชื่อ “Henderson”…วันนี้จะพาไปรู้เขากัน... คุณ Henderson!
และยังจำกันได้ไหมครับ เมื่อวานที่ City Gallery ผมเกริ่นถึงสะพานเชื่อมเขาที่ชื่อ “Henderson”…วันนี้จะพาไปรู้เขากัน... คุณ Henderson!
ย้อนมาที่กรุงเทพ...ทริปเดินป่านี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญในช่วงวางแผนทริปครับ
(ใครมันจะมาตั้งใจเดินป่าที่สิงคโปร์!!!) จากสถานที่ทั้งหมดที่ทำข้อมูลมาเพราะนอก
จากโบราณสถานแล้ว ความตั้งใจที่จะตีสนิทสิงคโปร์ด้วยการรู้จักสถานที่ใหม่ๆ
แปลกๆ
และแล้วข้อมูลใหม่ที่พบแล้วตื่นเต้นคือ ใจกลางสิงคโปร์มีภูเขา ป่า ร้านอาหารดีไซน์เก๋ อยู่ตั้งอยู่บนยอดเขา กระเช้าลอยฟ้า
และสะพานเกลียวคลื่น ดีไซน์เก๋ระดับโลก... ซึ่งทั้ง หมดดูไม่ค่อยเข้ากัน...
แต่นั่นกลับเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผมอยากรู้จักเขาเหล่านั้น มากขึ้น
ผมเลือกการเดินป่านี้เป็นทริปแรกของวัน...
(ไม่อะไรหรอก กลัวไปเย็นๆ แล้ว หลงป่า
มันจะไม่เก๋เอา) การเดินทางผมเริ่มต้นที่ MRT Bras Basah นั่งสายสีส้ม ไปลง Dhoby Ghaut แล้วเปลี่ยนสายไปสีม่วง ลง Habour Front ใช้เวลาเบาๆ
ประมาณ 15 นาทีเท่านั้นเอง ทางออกหนึ่งเสยเข้าที่ห้าง Vivo City ห้างมหึมาตั้งอยู่ตอนใต้สุดบน
แผ่นดินใหญ่
ผมเริ่มจะชินๆ
และยกให้เป็นเอกลักษณ์ของสิงค์โปร์ คือสถานีรถไฟใต้ดิน มักโผล่ขึ้นที่ชั้นใต้ดินของห้าง
(เอ๊ะ! เล่าเรื่องนี้ไปหรือยังนะ) ไอเดียนี้ไม่เลวนะครับ
เพราะว่านอกจากเราจะไปถึงสถานที่แลนด์มาร์คที่พลุกผล่านซึ่งแน่นอนว่าเป็นจุดตั้งต้นของนักท่องเที่ยวที่ดี ยังเป็นการเพิ่มทราฟฟิคให้กับห้างด้วย
เรียกว่าส่งเสริมศักยภาพ ด้านการช้อปปิ้งของประเทศการค้าอย่างสิงคโปร์ไปด้วยในตัว
(กรณีนี้นึกภาพไม่ออก ให้นึกถึง MRT สามย่านที่โผล่ชั้นใต้ดิน “ของจามจุรีสแควร์”
หรือ MRT พระรามเก้า ที่โผล่ทะลุชั้นใต้ดินห้างเซ็นทรัลพอดี)
ตอนนี้คงเช้าเกินไปนะครับ ร้านค้าต่างๆ ใน Vivo
ยังไม่เปิด ที่เปิดและคน ตรึมก็มีร้าน “Kopitiam” นี่แหละ
สาขานี้ยิ่งใหญ่กว้างขวาง อารมณ์ฟู๊ดคอร์ทในห้าง บ้านเราเลยครับ
ดูหรูดีด้วยเพราะเก้าอี้ที่ใช้ในร้านเป็นแบบอะคลิลิคใสๆ เก๋ ร้านอาหารก็เยอะหลากหลาย
แต่ก็ไม่หนีการแบ่งสัดส่วน ประเภทร้านอาหารเหมือน หลายๆ สาขาที่เห็น
คือมีทั้งร้านอาหารฝรั่ง ข้าวมันไก่และก๋วยเตี๋ยวแบบจีนสิงคโปร์ ร้านอาหารอิสลาม
และแน่นอน ร้านอาหารไทยจ้า ชื่อร้าน “Lotus Thai Viet” ดูจากเมนูก็บรรจุจานยอดนิยมไว้ไม่ต่างจากที่อื่นๆ
อันได้แก่ ข้าวผัด ต้มยำ ยำ แต่ผม ว่าคงขายควบอาหารเวียดนาม
เดาจากชื่อร้านและเมนูอาหารอื่นๆ ที่หน้าตาแปลกๆ
สำหรับใครที่อยากไปเยือนเซ็นโตซ่า มาที่ ไม่ผิดหวังครับ
เพราะชั้นบนสุดจะ เป็นสถานีรถไฟรางเดียวลอยฟ้า Sentosa
Express พาข้ามไปที่เกาะ แต่อยากจะ ตื่นเต้นคือ
เดินเชื่อมไปที่ตึกข้างๆ “Habour
Front Tower2” เพื่อนั่งกระเช้าลอยฟ้า ข้ามไปก็ได้...ซึ่งวันนี้ผมไม่ได้ไปเซ็นโตซ่า
ผมจะไปเดินป่า ด้วยกระเช้าลอยฟ้า
ชั้นล่างสุดของ
“Habour
Front Tower2” เป็นโถงเล็กๆ
ที่จำหน่ายตั๋ว
Cable Car ผมว่าถึงประมาณ 10 โมงนิดๆ คนยังไม่เยอะ
แต่คิวก็ยาวแล้ว (ใครสนใจก็มาแต่ เช้านะครับ) ระหว่างเข้าแถวรอเขาก็มีโบร์ชัวร์แนะนำ Package ของ
Cable Car ให้ด้วย มีทั้งแบบไปกลับ Sentosa - แผ่นดินใหญ่
หรือแบบไปอย่างเดียวกลับด้วยทางอื่น...
หรือที่ผมเจอในเน็ทและกำลังไปคือเส้นทางแสนเกร๋
“Mount Faber Walking Tour” เริ่มทริปแบบครบคือ
นั่งกระเช้าไปส่งยอด เขาที่ “ The Jewel Box” เดินไปสวนสาธารณะบนเขา “Faber Point” เดินต่อไปที่ สะพานคลื่น “Henderson Waves” และจบแบบแสนเกร๋ด้วยการชมวิวเมืองที่ร้าน
อาหารริมชะแง่งผา “Faber
Bistro”โบร์ชัวร์ระบุว่าใช้เวลาประมาณ
2 ชั่วโมง ราคาตั๋ว ของผู้ใหญ่ S$2.95 (ประมาณ 74 บาท)
S$39 (ประมาณ 975บาท) ราคาพอเห็นแล้ว ค่อนข้างแรงพอควรอยู่
แต่พอดูสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่จะได้ก็ถือว่าคุ้มนะ เพราะนั่ง Cable Car ได้ไม่จำกัดในวันนั้น ได้น้ำดื่ม 1 ขวด
^^ ได้จิบเครื่องดื่มชิลๆ
ที่“Faber Bistro” ตอนชมวิวเมือง ได้ส่วนลด10% ที่ร้านของของใน The Jewel
Box และท้ายสุด “หนังสือที่ระลึกของ Mount Faber” ... ผมว่าแค่ได้เที่ยวและได้หนังสือก็คุ้มนะ...
(ใช้อารมณ์ตัดสินล้วนๆ)
Plan ทริปเดินป่าสวยและงดงามตามมโนมากครับ แต่ให้คุณจำภาพฝันนี้ไว้
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นอย่างแผนสักนิด...เริ่มความผิดคิว ณ บัดนี้
เมื่อถึงคิว
ผมสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมใช้โบร์ชัวร์ประกอบ “ซื้อแพคเก็จ Mount Faber Walking Tour 1 คนครับ”
พนักงานสาวน่าเป็นวัยรุ่นหน้าตาเชื้อสาย แขกทำหน้างุนงงอย่างที่สุด
และที่สำคัญเหมือนนางพูดอังกฤษไม่ได้ หนังที่พยายามส่ง ภาษาที่สามมาหาผม
และเงอะงะอยู่นาน นางก็หายเข้าไปที่ฉากหลัง และตามพนักงาน ที่ดูซีเนียร์กว่ามา
ทั้งคู่สื่อสารกันเองและจิ้มนั่นจิ้มนี่ ท้ายที่สุดนางก็ยื่นตั๋วยาวๆ มาให้ผม พร้อมสติ๊กเกอร์กลมๆ
1 ดวง และกำชับแบบพอเข้าใจเพราะภาษามือว่า
“ติดสติ๊กเกอร์นี้ไว้...11 โมงค่อยขึ้นไปนะ... ลิฟท์อยู่ด้านซ้าย!”
จากที่เดา ผมว่าแพคแก็จนี้คงได้รับความนิยมมากๆ แน่เลย น้องสาวแขกถึง ขั้นน่าจะไม่เคยออกตั๋วโปรแกรมนี้ จนต้องไปตามลูกพี่มา… และทำไมต้อง 11 โมงขึ้น อ่ะ...ไปตอนนี้เลยไม่ได้หลอ เดินเขาตอนเที่ยงมันดำนะเธอว์
“ติดสติ๊กเกอร์นี้ไว้...11 โมงค่อยขึ้นไปนะ... ลิฟท์อยู่ด้านซ้าย!”
จากที่เดา ผมว่าแพคแก็จนี้คงได้รับความนิยมมากๆ แน่เลย น้องสาวแขกถึง ขั้นน่าจะไม่เคยออกตั๋วโปรแกรมนี้ จนต้องไปตามลูกพี่มา… และทำไมต้อง 11 โมงขึ้น อ่ะ...ไปตอนนี้เลยไม่ได้หลอ เดินเขาตอนเที่ยงมันดำนะเธอว์
ตามนิสัยคนไทยอ่ะครับ
ยิ้มๆ แล้ว
เซย์ Thanl You ไปก่อน... แกล้งเดินออก จากบริเวณที่ซื้อบริเวณที่นั่งรอ
ซื้อกว่าจะ 11 โมงผมต้องรอไปเกือบ 40 นาที ซึ่งนาน ไปนะ...
ดังนั้นตามความเชื่อว่ากฏมีไว้แหก...ผมเลยอาศัยช่วงคนมุงๆ เยอะ แอบเดิน ไปขึ้นลิฟท์ซะเลย
(แอบทำไมวะ!!)
ลิฟท์พาขึ้นมาที่ชั้นที่เท่าไหร่ไม่รู้ครับ
รู้แต่ว่ากดหลายชั้นมาก พราะอยาก รู้ว่า แต่ละชั้นมาอะไร แล้วก็มาถึงชั้นที่เป็นสถานีรถกระเช้าเคเบิ้ล
ที่ซึ่งเหมือนเป็น
1 ชั้นของ ตึก แต่ทำกลวงไว้ มีกำแพง แค่ 2 ด้าน อีก 2 ด้านซ้ายขวา มีเคเบิ้ลขึงโยงออก ไปไกล เชียว ตอนนี้รู้สึกกลัวนิดๆ
ครับ...เพราะเปิดลิฟท์มาปุ๊ปลมก็โหมเข้ามาตัวแทบปลิว คือลมแรงมาก
เรียกว่าถ้ากระโดดแล้วเท้าลอยจากพื้น ผมอาจจะปลิวออกทะเลได้เลย
ดังนั้นสิ่งที่กลัวคือ...ฉันต้องนั่งกระเช้าท่ามกลางลมพัดแรงนี่ชิมิ!!!
พนักงานชายหนุ่มใหญ่ที่คุมกระเช้าเห็นผมยืนงึกงังอยู่หน้าลิฟท์ก็เรียกถาม ผมยื่นตั๋วให้เขาดู และพอเขาเห็นสติ๊กเกอร์ที่เสื้อผม
เขาก็บรรจุคนเดียวลง ในกระเช้าที่ ถูกลากมาเกย... ปิดประตู และส่งผมสู่เป้าหมาย
กระเช้าถูกลากด้วยความเร็วทันทีที่หลุดนอกอาคารที่ใต้กระเช้าไม่มีพื้นตึกรองรับอยู่
ก็เพิ่มความเสียวได้ให้ผมตายประสาคนหวั่นความสูงไม่ได้น้อย... รถกระเช้าลาก ตามสายไปนิ่มๆ ลอยข้ามถนนหลัก เข้าสู่เขตภูเขา ป่า และเห็นอาคารสูงบนยอดเขา
เป็นสถานีอยู่ไกลๆ วิวสวยๆ และเคเบิ้ลวิ่งช้าๆ นิ่มๆ ไม่แกว่งเพราะแรงลม
(สงสัยตรง สถานีเป็นช่องตึกลมก็เลยแรง) ทำผมผ่อนคลายได้บ้าง การนั่งกระเช้าที่นี่ทำให้อารมณ์
คล้ายๆ นั่งกระเช้าขึ้น “เกนติ้ง” ของมาเลเซีย แต่ที่นี่ระยะทางสั้นกว่าและไม่สูงเสียดเท่า
กระเช้าเทียบที่สถานีอาคารสีขาว
มีลวดลายเป็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้าน... ประทับใจมากๆ ที่มีอาคารสวยๆ
ตั้งอยู่บนยอดเขาที่ข้างล่างยังเป็นป่าครึ้ม เจ้าหน้าที่ เปิดประตูกระเช้าและเชิญผมลง...ใช่แล้วที่นี่คือ “ The Jewel
Box” แน่นอน (เห็นจาก ป้าย) และนั่นไงร้านขายของที่ระลึกที่ผมใช้ส่วนลด
10% ได้... แต่ช้าก่อน เลยร้านขาย ของไป
เป็นระเบียงไม้ยื่นออกไปกลางแจ้ง ที่มีวิวอัศจรรย์เป็นป่าทั้งหมด... อารมณ์ เหมือน เด็กได้ตังค์จากพ่อแม่ไปซื้อขนม
ผมรีบวิ่งไปชิมวิวป่า (ที่เหมือนเมืองไทย มาก...ตื่นเต้นทำไมก็ไม่รู้)
และแน่นอนครับ
“ถ่ายรูปตัวเอง” โดยวางกล้องไว้ที่ราวระเบียงแคบๆ ตั้งเวลา และวิ่งไปที่มาร์ค นับ 10 วิ แล้วแชะเป็นการถ่ายรูปที่น่าตื่นเต้นมากๆ เพราะว่าพื้น ระเบียงไม้นั้นแค่วิ่งก็สั่นแล้ว
ตอนนี้กล้องผมวางอยู่บนแผ่นเหล็กเล็กแคบ คือมีโอกาส ตกลงไปด้านล่างลึกที่เป็นป่าแน่นอน...
เมื่อวิ่งไปมาสัก 4-5 รอบ จนได้รูปที่ถูกใจแล้ว... ตอนนี้ก็ถึงเวลาไปเดินท่องป่า แล้ว ว่าแต่...
มันจะเริ่มต้นจากไหนหว่า!?! ตรงที่ผมยืนอยู่ไม่มีป้ายอะไรบอกทางเลย
เห็นแต่ข้างๆ มีบันไดลงไปด้านล่าง มองตามลองไปเป็นทางเดินที่มีฝรั่งเดินไปมาอยู่ตาม
เนินเขา... เอาวะ ตรงนั้นล่ะมั้งเห็นเขาเดินๆ กัน ตัดสินใจกระชับกระเป๋าให้มั่นแล้วออก
เดิน
และแล้ว.... ก็มีชายคนหนึ่ง รู้เลยจากเครื่องแต่งกายและวิทยุสื่อสาร ในมือ ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ที่นี่... วิ่งตรงมาทางผมอย่างเร็ว ที่ทางตื่นตัว พร้อมตะโกน เรียกว่าผม
“คุณครับ คุณ...... !!!!!” (เป็นภาษาอังกฤษ)
และแล้ว.... ก็มีชายคนหนึ่ง รู้เลยจากเครื่องแต่งกายและวิทยุสื่อสาร ในมือ ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ที่นี่... วิ่งตรงมาทางผมอย่างเร็ว ที่ทางตื่นตัว พร้อมตะโกน เรียกว่าผม
“คุณครับ คุณ...... !!!!!” (เป็นภาษาอังกฤษ)
( กู
กูแน่นอน กูยืนอยู่คนเดียว
เดินกลางระเบียขนาดนี้.... นี่กูทำไรผิดเป่าวะ...
หรือที่นี่แม่งห้ามถ่ายรูปวะ
เขตป่าสงวนเป่าวะ...แม่งโดนจับกลางป่าไม่ขำนะ)
วินาทีนั้นตัดสินใจทำเป็นไม่ได้ยิน ตีหน้านิ่งๆ ไม่ตอบรับใดๆ เดินเลี่ยงๆ จะลง
บันไดข้างๆ แบบเนียน... แต่ซากอ้อย! เจ้าหน้าที่หนุ่มคนนั่นวิ่งมา ดักข้างหน้าคร๊าบบบ
“รอก่อน คุณนั่นแหละ!!!!!” (เป็นภาษาอังกฤษ)
(เชี่ยแล้วววววววววว...................)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น